1 พฤศจิกายน 2554

ไม่ได้เข้ามานานเท่าไหร่แล้วนะ
ไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำว่ามีใครแวะเวียนเข้ามาบ้างไหม
น่าสงสารนะ บล๊อกนี่กลายเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์ของคนจิตใจอ่อนไหว
ทั้งๆที่มันสามารถให้คุณค่าได้มากกว่านั้น

แปลกดีเหมือนกัน
ทำไมในวันที่ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวมันยุ่งเหยิง และฉันก็คิดว่ามันจะสามารถผ่านไปได้
กลับมามีเรื่องที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่า จนเกิดคำถามว่าฉันยังสามารถผ่านมันไปได้ไหม

เวลาที่เราพูดถึงความสุข เวลาที่เราบอกว่า เรามีความสุขที่สุด
นั่นเพราะเรารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า มันจะจบแค่ความสุขตรงนั้น
ฉันยอมรับ ว่าฉันได้ถลำลึกมากเกินไป
ฉันมัวเมากับความสุขนั้นมากจนเกินขอบเขตที่ตัวเองเคยตั้งไว้
สติที่เคยเตือนฉันอยู่เสมอมันหายไปตอนไหน
ไม่สิ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายผลักไสมันออกไปเอง

แล้วทันทีที่มีความทุกข์ มันก็เลยถาโถมเข้ามาขนาดนี้
มันก็คงเหมือนมวลน้ำที่ท่วมประเทศเราอยู่มั้ง
มันคงมหาศาลมาก จนคันกั้นน้ำตาของคนๆนึงแตกจนได้
บ้าพอแล้วรึยังเนี้ย

ตอนนี้ฉันพยายามนั่งนึกถึงวันเก่าๆ
วันที่แสนเศร้า ว่าฉันผ่านมันมาได้อย่างไร
ฉันต้องยึดอะไร ฉันต้องคิดยังไง หรือทำยังไงไม่ให้คิด
ฉันเคยผ่านมันมาได้ครั้งนึง
ฉันคงสามารถผ่านมันไปได้อีกทีล่ะน่า

นั่งคิดกับตัวเอง แบบนี้มันเหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง
ไม่สิ พระองค์คงกำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่
หากเรามีความเชื่อมากพอ ศรัทธามากพอ เราก็จะสามารถผ่านมันไปได้
ฉันเชื่อในความรักของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้ คงถึงเวลาที่ฉันจะได้พิสูจน์มันแล้วสินะ

Rabi_Angel่mon

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

ใครๆก็ไป "Coffee beans by Dao"


ยู้ฮู....สบายดีกันไหมขอร๊าบบบ
กระผมต้องขอโทษเพื่อนๆด้วยนะขอรับ ที่หายหน้าหายตาไปซะตั้งนาน
พอดีช่วงนี้เจ้านายของกระผมค่อนข้างยุ่งๆครับ เกี่ยวกับเรื่องการเรียนต่อ
โย้วววว...อีกหน่อยเมืองไทยก็จะมีคุณหมอน่ารักๆ มาประดับวงการจัดฟันแล้วนะขอรับ
(5555 ชงเอง ตบเอง อร่อยเลย)
ยังไงก็ขอเพื่อนๆคอยเป็นกำลังใจให้เจ้านายด้วยนะขอรับกระผม
สู้ๆคร๊าบ....
เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า คริๆ

ความเดิมตอนที่แล้ว...555
หลังจากที่เราอิ่มพุงกางกับอาหารคาวแสนอร่อยกันไปเป็นที่เรียบร้อยเลย
เราก็พากันเดินหลุนๆ มุ่งหน้าสู่ร้านเค้กเป้าหมายของเรากันครับ
เดินไปยังไม่ทันย่อยสปาเก็ตตี้เลย ถึงแระ ร้านใกล้กันม๊ากกกก 


ร้านนั้นก็คือ แต่นแตนแต๊นนนนนน....ร้าน “Coffee beans by Dao”
เห็นไหม ใครๆก็มาร้าน coffee beans ขนาดหมูยังต้องมาโดนสักทีเลย
ร้านนี้สาขาเยอะมากขอรับ ยังไงเดี๋ยวจะแปะเว็บไซต์ของทางร้านให้ด้านล่างนะขอรับกระผม


โอ้ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด อะไรกันนี่ คนโล่ง!!!
สงสัยเพราะยังไม่ค่อนเย็นมาก ไม่ใช่เวลาเลิกงาน กระผมจึงมีที่นั่งไม่ต้องรอคิว
แถมได้นั่งโซฟาสวยหรูอีกต่างหาก 555
(เอาพุงดันคนที่เดินมาข้างๆจนกระเด็นออกไปครับ เลยได้นั่ง ไม่งั้นก็ชวด อิอิ) 


ในเรื่องของชื่อเสียงเรียงนาม ร้านนี้คงไม่ต้องบรรยายกันให้มากความครับ
เพราะเค้าก็ดังมานานแล้ว ทั้งการจัดแต่งร้านที่หรูหราเป็นตัวของตัวเองมาก
ขนมเค้กแสนหอมหวาน อาหารชวนอิ่มพุงกาง...ว้าว...
งั้นเราก็ไปลุย(กิน)กันเลยดีกว่าขอรับ


ดูเมนูกันดีกว่า...ผ่านไป 5 นาที....

อืม...อืม...อืม...ผ่านไปอีก 10 นาที...

แงงงงงง.....อยากกินไปหมดเลยอ่า......T T พุงพะโล้ก็มีอยู่ใบเดียว ทำไงดีละเนี้ย 
รู้งี้แยกกินคนละวันดีกว่า จะได้มาซัดโฮกๆเลย
สั่งมั่วไปเลยแระกัน 5555 หลับตาจิ้มมันซะเลย

เมนูแรกมาแล้วคร๊าบบบ Banana chocolate cake


เค้กช็อคโกแลตหอมหวาน ช่างเข้ากั๊นเข้ากัน กับกล้วยหอมชิ้นเบ้งเต็มคำจริงๆ
จนอยากจะกลายเป็นลิงให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลยขอรับกระผม
อ้ำ...โอ้ เค้กนิ่มมากครับ ช็อคโกแลตหวานมัน ละลายเคลือบไปทั่วทั้งปาก
ประหนึ่งหมูตัวน้อยล่องลอยไปในทะเลช็อคโกแลตแสนนุ่ม  555 อันนี้ก็เว่อร์ไปครับ 
กระผมประหลาดใจอยู่หลายๆครั้ง ใครกันนะเป็นคน mix & match กล้วยกับช็อคโกแลตเป็นคนแรก
มันช่างเป็นเมนูที่เข้ากันจริงๆ 
ไปซื้อกล้วยหอมในตลาดมากินก็โอเคๆ ซื้อป๊อกกี้มานั่งกินก็โอเคๆ
แต่พอมันมารวมตัวเป็นเค้ก chocobanana แล้วมันสุดยอดดดดด.....
เค้กชิ้นต่อไปกันเลยดีกว่าครับ

อีกเมนูนึงที่หลับตาจิ้ม(กึ่งหรี่ตามองเล็กน้อย) ก็คือ....
Vanilla crepe cake ราดด้วยน้ำราสเบอร์รี่ (ที่มีสตอเบอร์รี่ผสมด้วย) สีสวยจังเลย น่ากินๆ
แอบมีจงใจให้เป็นเครปเค้กครับ เพราะเป็นประเพณีที่สืบต่อมาหลายชั่วอายุหมู 
ที่เมื่อไปบุกร้านเค้กที่ไหนก็ต้องไปหม่ำ เครปเค้กที่นั่นให้ได้ขอรับกระผม
ส่วนที่มาที่ไปของประเพณีนี้ ไว้ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังกันอีกทีนะขอรับ


เมนูนี้ตอนแรกจะเสิร์ฟแยกเค้กกับน้ำเชื่อมผลไม้นะขอรับ ให้เราเอามาบรรเลงเองตามชอบ
ตัวเครปเค้กวนิลาของที่นี่ แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ด้วยการสอดไส้ชั้นครีมหนามาก 
ทำให้เวลาที่กัดชิ้นเค้กแล้ว ชั้นครีมนมจะแผ่ออกสร้างความนุ่มลิ้นได้เยี่ยมยอด
และสร้างความเลี่ยนได้ยอดแย่จริงๆขอรับ เอิ๊กๆ

อันนี้กระผมพูดแบบเป็นกลาง สำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่เคยกินเครปเค้กมาก่อน
ถ้าได้มาเจอเครปเค้กครั้งแรกในชีวิตที่ร้านนี้ 
อาจจะติดใจในความหวานมันของนม เรียกได้ว่า กินเค้กจริงๆ
แต่ถ้าเพื่อนๆเคยไปทำความรู้จักกับเครปเค้กที่อื่นมาบ้างแล้ว 
อาจจะให้คะแนนเครปเค้กที่ร้านนี้น้อยหน่อย 
เพราะส่วนใหญ่ร้านอื่นๆจะเน้นเครปหนักๆหลายๆชั้น
แต่ร้านนี้เค้าดีไซน์ความเป็นเครปเค้กด้วยคอนเซ็ปต่างกันออกไปครับ 
เน้นความเป็นเค้กมากกว่าความเป็นเครป
(ไว้รีวิวเรื่องเครปเค้กกันไปเลยดีกว่า อร่อยเหาะแน่นอน)

สำหรับเพื่อนๆบางคนที่ไม่สัดทัดเรื่องนมๆ ก็แนะนำให้ละเมนูนี้ไว้ในฐานที่เข้าใจ 
เพราะครีมเค้าจัดหนักจริงๆขอรับ
เครปเค้กวนิลาชิ้นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทานร่วมกับน้ำเชื่อมผลไม้ที่ราด 
เพราะถ้าเผลอไปกัดเครปล้วนๆก็คงจะเลี่ยนขึ้นสมองกันไปเลยทีเดียว
เรียกได้ว่า ทานครั้งเดียวก็ซาบซึ้งถึงทรวงกันเลยขอรับกระผม


พอกินอิ่มแล้ว เรามาดูบรรยากาศภายในร้านกันซักหน่อยดีกว่า
การจัดตกแต่งร้าน เรียกได้ว่าเป็นสไตล์ของร้านเค้าเลยละขอรับ
นั่นก็คือความสวยหรู เก้าอื้โซฟาไฮโซ โคมไฟระย้า และอะไรต่อมิอะไรที่เรียกได้ว่าหรู


โซนด้านหน้าร้านออกโทนสีม่วง ส่วนด้านในเป็นสีเขียว ตัดกันได้เจ็บแต่สวยมีสไตล์จริงๆขอรับ
เรื่องราคา ก็จัดว่าแพงตามความหรูของร้าน 
แต่นานน๊าน....มากินที ก็หยวนๆเน๊อะ


ก็อย่างที่บอกกับเพื่อนๆไว้ตอนต้น 
ร้านนี้มีสาขาให้เลือกไปเยอะมากครับ แล้วแต่สะดวกกันเลยนะครับ
ว่าแล้วก็แถมเว็บไซต์ของทางร้าน http://www.coffeebeans.co.th/ ไว้ด้วยเลย
เผื่อเพื่อนๆจะได้เข้าไปดูหน้าตาอาหารกันก่อนเลย
ส่วนถ้าจะมาทานที่ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค นี้ก็สามารถโทรติดต่อได้นะครับที่เบอร์ 02-787-2395


ร้านนี้ขอเตือนคนที่ยังไม่เคยมาทานนะครับว่าต้องใจเย็นๆหน่อย
เพราะคนเต็มประจำ และตลอดๆ อาจต้องเข้าคิวรอกันบ้างนะขอรับ
ร้านอยู่ที่ชั้น 3 กระเถิบมาจากร้าน to die for นิดหน่อยขอรับกระผม


ก่อนกลับบ้านโชคดี๊โชคดีครับ ได้มีโอกาสนั่งฟังพี่ๆเล่นดนตรีย่อยอาหาร
น่าจะมาจากสถาบันสอนดนตรีบนชั้นนี้สักที่อ่ะครับ
บรรเลงเพลงเพราะๆเคล้าเสียงไวโอลิน เจริญอาหารดีแท้
ฟังแล้วก็รู้สึกอยากเล่นไวโอลินให้เก่งๆอย่างพี่เค้าจังเลย T T
ว่าแล้วก็กลับบ้านไปปัดฝุ่นไวโอลินตัวน้อยของกระผมหน่อยดีกว่า จะยังเล่นเป็นเพลงอยู่ไหมเนี้ย เอิ๊กๆ

เจอกันคราวหน้า เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันน๊า รอติดตามชมแล้วกันนะขอรับกระผ๊ม 
วันนี้อิ่มมากๆขอรับ ขอตัวไปนอนลูบพุงก่อน บะบายคร๊าบบบบบ.....


วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไปลองร้านหรู "TO DIE FOR" กันไหม

สวัสดีคร๊าบบบบบ....
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนจังเลยนะขอรับกระผม 
บทจะอากาศร้อนก็ร้อนซะตับหมูแลบ บทฝนจะตกก็ตกมาได้ไม่มีปี่มีขลุ่ย 
จะไปเที่ยวไหนถ้าไม่พกร่มไปด้วย ก็อาจจะกลายเป็นน้ำตกหมู เอิ้ก! หมูตกน้ำ กันไปเลย
เพราะงั้นเพื่อความปลอดภัย เราไปเดินเล่นในห้างกันดีกว่าเน๊อะ
ฝนจะตก แดดจะออก เราก็ไม่หวั่นต่อสภาพอากาศข้างนอก เพราะเราอยู่แต่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ^^ 

เอาล่ะครับ วันนี้กระผมจะพาไปเดินเล่นที่ห้าง พาราไดซ์ พาร์ค ห้างดังสุดหรูย่านชานเมือง -*- 
เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าแบรนด์เนม มือถือสุดล้ำ...เราไม่เดินครับ
ไปชั้นนี้กันเลย ชั้น 3 หุหุหุ ชั้นขายของกินอร่อยๆทั้งน๊านนน 
 เราไปเดินหาร้านอาหารอร่อยๆกินกันดีกว่าครับ 

ชั้นนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารสุดหรู เรียกได้ว่าร้านไหนที่ว่าดังๆ ก็มารวมตัวกันที่นี่ล่ะครับ
มีหลายร้านหลากสไตล์ให้เลือกครับ เดินวนไปวนมาอยู่สามรอบ 555 ไม่ใช่เวียนเทียน 
แต่ก็ยังไม่รู้จะเลือกเข้าร้านไหนดีอ่ะสิครับ ร้านนั้นก็น่าเข้า ร้านนี้ก็น่านั่ง อยากกินมันหมดทุกร้านเลย
อิอิ คาดว่าเราคงจะได้มาฝากท้องไว้ที่ชั้นนี้กันอีกหลายงวดเลยทีเดียว 
เอาล่ะครับ มาประเดิมร้านแรกของเรากันเลยดีกว่า 

ร้านนี้มีชื่อว่า  “TO DIE FOR cafe'” แปลตรงๆตัวว่า "ยอมตายเพื่อ..."
ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็อาจจะต้อง stress เสียงหนักที่คำว่า "เพื่อ"
ดูจากทรงแล้ว ก่อนเข้าร้านคงยังไม่ตาย แต่พอจ่ายตังค่าอาหารอาจจะมีตายกันได้
เพราะร้านนี้เป็นอาหารแนวฝรั่งเศสครับ คาดได้ว่าคงจะ ราคามหาศาล ปริมาณจานละคำ” แหงๆ

ร้านนี้เค้าแต่งร้านอาร์ทดีครับ สามารถเลือกบรรยากาศการนั่งได้ 2 แบบ 
แบบหน้าร้านกับแบบในร้าน 555
ถ้าเพื่อนๆอยากทานอาหารแบบท้าทายสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา 
ก็ให้มานั่งกินกันที่หน้าร้านเลยขอรับ ตกแต่งด้านบนด้วยกันสาดเล็กๆที่ยื่นออกมา 
ได้อารมณ์คล้ายๆร้านกาแฟในกรุงปารีสที่กระผมเห็นบ่อยๆในหนังนะครับ
เสริมความโรแมนติกด้วยเถาวัลย์ที่เลื้อยเกาะอยู่บนรั้วเหล็ก
อีกด้านนึงเป็นชุดโซฟาหลุยส์ก็ทำให้ได้อีกบรรยากาศนึง 
หยั่งกะนั่งกินอาหารในปราสาทกันเลยทีเดียวนะขอรับกระผม
แต่ไม่แน่ใจว่าจุดนี้เค้าจัดไว้ให้ลูกค้านั่งรอ หรือให้นั่งทานได้เลย คิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
เพราะไม่งั้นจะเอาโต๊ะมาวางไว้ทำไมเน๊อะ 
ส่วนในร้านจัดตกแต่งออกแนวฝรั่งเศสแบบโบราณนิดๆ 
ด้วยการโชว์กำแพงอิฐแดงที่ดูเว้าๆแหว่งๆ ให้อาร์ตหน่อยๆ 
เดินเข้ามาถึงกับมึนงงขอรับกระผม หยั่งกะเข้าร้านขายเฟอร์นิเจอร์ 
แบบว่า เลือกไม่ถูก ไม่รู้จะนั่งไหนดี มุมโน้นก็สวย มุมนี้ก็เริด
โอ้ยๆ ขอเอาก้นไปสัมผัสโซฟาทุกชุดเลยละกัน แฮะๆ
โทนสีหลักๆของร้านก็จะออกไปทางสีน้ำตาลของไม้ขอรับเพื่อเพิ่มความคลาสสิก 
แล้วตัดด้วยสีขาวให้ดูโมเดิร์นขึ้นมาทันตาเห็น
บรรยากาศโดยรวมชวนนั่งแบบสบายๆขอรับกระผม เหมือนไปเที่ยวปารีสแบบไม่ต้องไปขอวีซ่า เอิ๊กๆ
ส่วนอีกฟากนึงของร้านก็จะเป็นมุมโซฟา ให้ทั้งนั่งและนอนตีพุงได้อย่างสบายใจ
เหมือนนอนอยู่บ้านเลยขอรับ
ทีนี้เรามาดูรายการอาการของที่นี่กันดีกว่านะขอรับกระผม

 โอ้แม่เจ้า!! นี่คือชื่ออาหารหรือเนี้ย ยาวเป็นหางว่าว บางรายการบรรทัดเดียวไม่พอนะขอบอก
รายการอาหารแนะนำก็จะมีดอกจันกำกับไว้ขอรับ 
ประมาณว่าถ้าลูกค้าขี้เกียจอ่านก็บอก เอาตามดอกจัน ได้เลย
เนื้อหาในเมนู เหมือนเปิด text ครับ ยาวมาก เยอะมาก 
แต่ไม่ต้องตกใจขอรับ ค่อยๆอ่านครับ เหมือนกำลังเรียนภาษาอังกฤษ
ถ้าพี่พนักงานทำท่าทางยืนคอย ก็บอกให้เขาไปนั่งเล่นรอก่อนได้เลยขอรับกระผม

เมนูของกินกับเมนูเครื่องดื่มแยกเล่มกันขอรับกระผม
555 ตอนแรกเป็นหมูตื่น พลิกเล่มเมนูอาหาร วนไปวนมา คิดในใจ เฮ้ย! เค้าไม่ขายน้ำหรืองายฟระ
ไม่ทันสังเกตว่าพี่เค้าเอามาวางให้ 2 เล่ม
รายการอาหารที่นี่ mix & match ได้น่าสนใจมากครับ 
เป็นการผสมผสานระหว่างอาหารทางฝั่งยุโรปและเอเชีย คือตัวหลักนี่มักจะเป็นอาหารทางอิตาลี ฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ลืมที่พ่วงท้ายด้วยน้ำจิ้มแจ่ว ข้าวมันหรือแม้แต่อาจาด (เหมือนในหมูสเต๊ะ)
อืม...เอาตามดอกจันแระกันนะขอรับ เกรงใจคุณพี่บริกรยืนรอนานแล้ว แฮะๆ 

อาหารจานแรกเริ่มต้นกันที่ ซีซาร์สลัดสไตล์ to die for เป็นเมนูแนะนำของที่นี่ขอรับ
เป็นซีซาร์สลัดโรยด้วยพาร์เมซานกรอบ(คืออะไร?) เบคอน และขนมปังอบกรูตอง(มันคืออาราย???) 
555 ลอกเมนูมา
ราดน้ำสลัดสูตรเฉพาะของ to die for ขอรับกระผม น้ำสลัดออกเปรี้ยวนิดๆ 
แต่เมื่อเจอความเข้มข้นของเบคอน กลับทำให้รสชาดลงตัวเลยทีเดียว
จานต่อมาครับ เมนูดอกจันอีกตามระเบียบ สันคอหมูดำคุโรบุตะย่าง ที่เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วและผักสด
(นี่เข้าร้านอาหารฝรั่งเศสน๊า ยังไม่เว้นออกแนวอีสานอยู่นั่น อุตส่าไม่มีส้มตำนะเนี้ย)
เอามาวางตอนแรก หน้าตาหยั่งกะคอหมูย่าง -*- เอ๊ ยังไง 
แต่พอกินเข้าไปคำแรก โอ้ววว....เนื้อหมูนิ่มมากมายขอรับกระผม
นิ่มกว่าเนื้อกระผมอีกนะเนี้ย อิจฉา (แต่ก็ดีแล้ว ไม่งั้นผมคงได้ไปอยู่ในเมนูต่อไปแน่นอน)
น้ำจิ้มแจ่วอร่อยมากขอรับ ทำมาเอาใจคออีสานอย่างกระผม 5555 มีผักสดแอ้มด้วย
ตบท้ายกันด้วย พาสต้าผัดขี้เมาทะเล กุ้งเป็นกุ้ง หอยเป็นหอย หมึกเป็นหมึก ใหญ่เบ้งๆ
เป็นเมนูลูกผสมที่น่าจะถูกปากคนไทย ด้วยความอร่อยกลมกล่อมของเส้นสปาเก็ตตี้ผัดกับ
เครื่องผัดขี้เมาออกมาได้อย่างลงตัวขอรับกระผม ไม่เผ็ดเท่าไหร่ ทานได้อย่างสบายใจ

กินอาหารอิ่มแล้ว คอแห้งเหลือเกิน หันมาลองลิ้มชิมรสเครื่องดื่มกันบ้างดีกว่าขอรับ
แก้วแรกสีม่วงเป็นประกายสวยเชียว มีนามมังกรสุดหรูว่า Cassis soda 
เป็นน้ำแบล็คเคอเรนท์ผสมโซดา (ในเมนูบอกว่า มีวิตามินซีสูงด้วยนะ)
ส่วนอีกแก้ว มาทั้งป่าเลยมั้งขอรับ -*- ดูเอาเองแระกัน 5555 
เค้ามีชื่อแสนธรรมดาว่า green apple ขอรับ เป็นน้ำมะนาวใส่เนื้อแอปเปิ้ลเขียวและใบสะระแหน่
ดูดๆไประวังใบสะระแหน่ติดคอ เพราะบางจังหวะมันก็พรวดเข้ามาในหลอดครับ 
รสเปรี้ยวๆหวานๆ แปลกดี


ร้านนี้เค้ามีของหวานเป็นเค้กน่าตาจิ้มลิ้มน่าทานอยู่ด้วยนะขอรับ
แต่เดี๋ยวก่อนขอรับกระผม เรามีร้านเค้กเป้าหมายไว้แล้ว เพราะฉะนั้นเมนูนี้ขอบายก่อน
ระหว่างนั่งรออาหารย่อยบ้างอะไรบ้าง ก็ชมบรรยากาศของร้านกันต่อเลยดีกว่าครับ

ช่วงนี้เค้ามีรายการโปรโมชั่นกันด้วยนะขอรับ ลองมาชิมกัน สนนราคาพอเหมาะพอควร ^^
 
ถ้าหากใครเบื่อการทานอาหารในห้างที่มีแต่ผู้คนขวักไขว่
ลองแวะมาที่ร้านนี้กันดูนะขอรับ บรรยากาศปลอดโปร่ง คลาสสิกๆแบบนี้ รับรองเจริญอาหารกันน่าดูเลย
พิกัดร้านหาง่ายมากขอรับ อยู่บนชั้นสามของห้างพาราไดซ์ พาร์ค โซนหน้าห้างเลยครับ
ไม่งั้นก็ลองถามทางไปร้านซีเอ็ดชั้นสามก็ได้ครับ อยู่ใกล้ๆกัน
ร้านนี้เปิดบริการทุกวันครับ เวลา 11.00-22.00 น.  
สนใจสอบถามหรือจองที่นั่งกันก่อนได้ที่ 0-2787-2402-3

งวดหน้าไปลุยร้านเค้กกันมั่งดีกว่าาาาาาาา....