1 พฤศจิกายน 2554

ไม่ได้เข้ามานานเท่าไหร่แล้วนะ
ไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำว่ามีใครแวะเวียนเข้ามาบ้างไหม
น่าสงสารนะ บล๊อกนี่กลายเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์ของคนจิตใจอ่อนไหว
ทั้งๆที่มันสามารถให้คุณค่าได้มากกว่านั้น

แปลกดีเหมือนกัน
ทำไมในวันที่ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวมันยุ่งเหยิง และฉันก็คิดว่ามันจะสามารถผ่านไปได้
กลับมามีเรื่องที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่า จนเกิดคำถามว่าฉันยังสามารถผ่านมันไปได้ไหม

เวลาที่เราพูดถึงความสุข เวลาที่เราบอกว่า เรามีความสุขที่สุด
นั่นเพราะเรารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า มันจะจบแค่ความสุขตรงนั้น
ฉันยอมรับ ว่าฉันได้ถลำลึกมากเกินไป
ฉันมัวเมากับความสุขนั้นมากจนเกินขอบเขตที่ตัวเองเคยตั้งไว้
สติที่เคยเตือนฉันอยู่เสมอมันหายไปตอนไหน
ไม่สิ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายผลักไสมันออกไปเอง

แล้วทันทีที่มีความทุกข์ มันก็เลยถาโถมเข้ามาขนาดนี้
มันก็คงเหมือนมวลน้ำที่ท่วมประเทศเราอยู่มั้ง
มันคงมหาศาลมาก จนคันกั้นน้ำตาของคนๆนึงแตกจนได้
บ้าพอแล้วรึยังเนี้ย

ตอนนี้ฉันพยายามนั่งนึกถึงวันเก่าๆ
วันที่แสนเศร้า ว่าฉันผ่านมันมาได้อย่างไร
ฉันต้องยึดอะไร ฉันต้องคิดยังไง หรือทำยังไงไม่ให้คิด
ฉันเคยผ่านมันมาได้ครั้งนึง
ฉันคงสามารถผ่านมันไปได้อีกทีล่ะน่า

นั่งคิดกับตัวเอง แบบนี้มันเหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง
ไม่สิ พระองค์คงกำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่
หากเรามีความเชื่อมากพอ ศรัทธามากพอ เราก็จะสามารถผ่านมันไปได้
ฉันเชื่อในความรักของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้ คงถึงเวลาที่ฉันจะได้พิสูจน์มันแล้วสินะ

Rabi_Angel่mon

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ห้วงเหวแห่งความคิด

ในบางครั้ง ฉันก็ชอบดำดิ่งอยู่ในห้วงคิดอะไรสักอย่าง
การที่ได้ปล่อยให้ใจได้คิดพิจารณาอะไรๆ ก็เป็นเหมือนความบันเทิงอย่างหนึ่ง
ยามใดที่เรื่องที่คิดไว้ พาใจให้ล่องลอย ผ่อนคลาย
ก็ถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่ดี

แต่คงไม่ใช่ทุกครั้ง ที่เราจะคิดถึงแต่เรื่องดีๆ
ในบางครั้ง ความคิดด้านลบก็แทรกตัวเข้ามาในจิตใจเรา
เจ้าความคิดพวกนี้ มันอยู่ตรงนั้นเสมอ
รอคอยเวลา เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพลาด แม้เพียงน้อยนิด
มันจะแทรกซึมเข้ามาในจิตใจเราทันที
โดยไม่ทันตั้งตัว เราก็ตกอยู่ในห้วงความคิดแย่ๆเหล่านั้นไปซะแล้ว

บ่อยครั้งเหลือเกิน ที่ฉันมักจะเกิดคำถามกับตัวเอง
ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันไม่เป็นอย่างเขา ทำไม ทำไม ทำไม
แล้วคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตัวเราเอง
ก็มักไม่ค่อยจะจรรโลงจิตใจซักเท่าำไหร่

คนเรามีความสามารถพิเศษ ที่มักจะทำให้เรื่องแย่ แลดูย่ำแย่เข้าไปใหญ่
เวลาที่คนเราเกิดปัญหา
เรามักมองเห็นขนาดของมันใหญ่กว่าความเป็นจริงเสมอ
ไม่ใช่ประเภทว่า เรื่องของเธอช่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับของฉัน
ปัญหาของใครของมัน เราบอกไม่ได้ว่า ปัญหาของใครใหญ่กว่ากัน
แต่ที่สำคัญ เรามองปัญหาของเราเองใหญ่กว่าความเป็นจริงเสมอ

ความทุกข์ใจ ปัญหาใดๆก็ตาม มันไม่มีขนาดสัมบูรณ์
ขนาดของมัน เป็นปฏิภาคโดยตรงกับสภาพจิตใจ
เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกแย่ ปัญหาต่างๆจะดูใหญ่เสมอ
แต่ในขณะที่คุณกำลังสบายใจ ลองนึกย้อนกลับไป
สิ่งที่เคยทำให้คุณเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อครั้งก่อน
คุณอาจจะหัวเราะในความเขลาของตัวเองก็ได้

ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าไปอยู่ในห้วงเหวลึกของความคิด
เคยคิดว่าความตาย คงเป็นคำตอบของความทุกข์ใจ
เราทุกคน เกิดมาพร้อมกับความตาย
เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มเกิด เราก็เริ่มตายกับทุกคนเช่นกัน
ถ้าหากคุณกลัวตาย ก็จงอย่าเกิด เพราะมันเป็นสิ่งที่คู่กันมาตั้งแต่ต้น
ฉันไม่กลัวที่จะตาย เพราะฉันรู้ว่าซักวันเราทุกคนคงไปถึงที่ๆเดียวกันนั้น
แต่ความตายไม่ได้ยังประโยชน์ใดๆให้ใครเลย แม้แต่ตัวฉันเอง
ทำไมเราไม่เก็บความตายไว้ในที่ของมัน
เมื่อถึงเวลาให้มันมาหาเราเอง
แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตระหว่างนี้ให้เต็มที่
บอกได้คำเดียว ว่ามันยากเย็น และทรมานมากกว่าที่ฉันจะปีนหน้าผาความคิด
แล้วขึ้นมายืนอยู่ได้
แต่ก็นั่นแหละ ฉันขึ้นมาแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้ใครก็ตามที่อยากหลุดพ้นไปจากโลกใบนี้
ถ้าคุณทุกข์ใจ ก็ขอให้รับรู้ว่า มีคนอีกมากมายที่ทุกข์ใจไม่แพ้คุณ
ขอให้รับรู้ว่า คุณยังมี"เพื่อน"อยู่อีกมากมาย
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน"ปีน"ขึ้นมาให้ได้
ฉันขึ้นมาแล้ว ทำได้ก็แค่เพียงหย่อนเชือกให้คุณจับ
แต่เชือกของฉันคงไม่ได้ยาวมากมาย
คงต้องอาศัยแรงใจของคุณส่งพลังให้คุณปีนมันขึ้นมาได้
และเมื่อมือคุณเอื้อมถึงเชือกของฉัน
ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน...
ฉันจะดึงคุณขึ้นมาเอง.....

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันเกิดแห่งความรัก


มนุษย์ ภายหลังการปฏิสนธิ
เราจะเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มารดา เป็นเวลานานถึง 9 เดือน
เป็นช่วงเวลาที่ทารกจะปลอดภัยที่สุด สบายที่สุด
ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี

เต็มเปี่ยมไปด้วยคลื่นของความรัก
จนเมื่อครบกำหนดเวลา
เราจึงได้ออกมาสัมผัสความรักของโลก...

ถ้านับถอยหลังไป 9 เดือน
ฉันอนุมานเอาเองว่า ฉันถือกำเนิดมาในวันแห่งความรัก
14 พฤศจิกายน ถอยไป 9 เดือน ก็เป็น 14 กุมภาพันธ์
นั่นเป็นวันที่ฉันเกิด...

อันที่จริงวันเวลานาทีที่เราเกิด คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบุคลิภาพของคนมากนัก
แต่ฉันเชื่อว่าอนุภาพของความรักส่งผลต่อเราทุกคน
ฉันเกิดจากความรัก ในวันที่คนรักกันแสดงออกถึงความรักที่เขามีให้กันและกัน
วันที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นของความรักลอยอยู่ในอากาศ
เพราะงั้น ในระหว่างที่ฉันหลับสบายอยู่ในครรภ์
เซลล์แห่งความรักจึงกระจายตัวแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของร่ายกายฉัน
และทำให้ฉันเกิดมาพร้อมกับความรักล้นปรี่

ไม่ใช่ว่าฉันกำลังมีความรักจึงเขียนข้อความเหล่านี้ได้
ความรักก่อเกิด มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป เป็นวัฏจักร วนเป็นวงกลม
แต่ไม่มีวันหมด...
ด้วยความที่มีความรักพบติดมาด้วยตั้งแต่เกิด
ทำให้ฉันรู้สึกอยากจะถ่ายโอนความรักให้ใครๆบ้าง
ทั้งคน สัตว์ และสิ่งของ
จนทำให้บางครั้งฉันแปลกใจ ที่มีคนบอกว่า "รักใครไม่เป็น"
บอกตรงๆ ว่าฉันไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
มันง่ายนิดเดียว แคุ่คุณให้ความรักออกไป เท่าั้นั้นเอง
แต่ก็อย่างที่บอก ฉันเกิดในวันแ่ห่งความรัก วันแห่งการให้
มันเลยเป็นการง่ายกับตัวฉันเอง ในการให้ความรัก

โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม
แม้สิ่งไม่สวยงาม เรายังสามารถเห็นความงามของมันได้
ยามน้ำหลากมาท่วมประเทศ
เรายังเห็นน้ำใจคนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ
หรือแม้แต่การเกิดแผ่นดินไหว
เรายังได้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งโลก
มันมีความสวยงามอันเกิดจากความรัก ความเอื้ออาทร
ที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านั้น
ไม่มีใครไร้ซึ่งความรักโดยแท้จริง
แม้แต่ศพไร้ญาติ วันหนึ่งเขาเหล่านั้นก็ได้กลับไปสู่ธรรมชาติ
ความรักจากธรรมชาติ จากพื้อแผ่นดิน
โอบกอดเขาไว้ในยามที่เขาหลับนิรันดร์
คนเราเกิดมาพร้อมกับความรัก
และความรักมาส่งเราเมื่อยามเราจากไป
แต่ความรักจะไม่ไปกับเรา มันจะยังคงอยู่
ดำรงอยู่ต่อไปเพื่อสร้างวัฏจักรให้โลกหมุนเวียนเปลี่ยนฤดูกาล
เพราะมันรู้ว่า ในยามที่เราเกิดมาอีกครั้ง
เราก็จะมีความรักครั้งใหม่เกิดพร้อมกับเราเช่นกัน
.......
ขอให้ความรัก(ที่มีอยู่ในตัวคุณทุกคน)จงดำรงอยู่เช่นนั้นตลอดไป

กาต่าย
14 พฤศจิกายน 2553

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ในห้องมืด

สิ่งที่อันตรายที่สุดบนโลกใบนี้
ไม่ใช่การฆาตกรรม สังหารหมู่
หรือแม้แต่ปล้นฆ่า ข่มขืน
อย่างที่เราพบเห็นกันตามหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน
แ่ต่สิ่งที่อันตรายซะยิ่งกว่าการกระทำภายนอกใดๆ
นั่นก็คือ จิตใจ

จิตใจ จิตใต้สำนึก ความรู้สึกนึกคิด
มันสามารถทำร้ายเราได้เสมอ
ถึงแม้เราจะระวังตัวมากเท่าไหร่
คุณไปไหนมาไหน คุณดูแลตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
ไม่มีใครจะสามารถทำอะไรคุณได้
แต่จนแล้วจนรอด จิตของคุณกลับเป็นตัวอันตราย
คอยเอามีดมาทิ่มแทงตัวมันเอง
เสมอ.....

ฉันช่างโชคดีเหลือเกิน
ที่ได้มาพบเจอสิ่งที่เป็นเหมือนแสงสว่าง
ให้ฉันหยุดเอามีดนั้นมาแทงที่ใจของตัวเอง
ทุกครั้งที่เกิดปัญหา
ใจคุณจะเจ็บปวด
เมื่อมันเจ็บ มันจะไม่ยอมรับสิ่งใดๆเลย
โลกทั้งโลกของคุณจะค่อยมืืดลง
มืดจนคุณหาทางออกไม่เจอ
ความจริงแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีทางของมันอยู่แล้ว
ปัญหาและทางออกมันอยู่ตรงนั้น
ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
แต่ฉันกลับมองมันไม่เห็น
ทุกอย่างช่างดูมืดมน
เราสู้กับความืดไม่ได้หรอก
เราสู้กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนไม่ได้
ความมืดอาจจะดูยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม
คุณอาจจะทำได้แค่เพียง นั่งขดตัวอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่ง
แล้วมันจะดีขึ้นที่ตรงไหน
มันก็จะมีแต่มืดลงๆ ไปเรื่อยๆ

ตรงนั้น ที่ที่คุณนั่ง มันมีเทียนวา่งรอไว้อยู่แร้ว
เพียงแค่คุณยอมรับความมืด
ตาคุณแค่ยอมรับมัน
ค่อยๆให้ตาคุณคุ้นชินกับความมืดนั้น
ค่อยๆทำความเข้าใจมัน
คุณไม่ต้องปฏิเสธมันหรอก ยิ่งคุณไม่ยอมรับมัน มันจะยิ่งมืด
แต่เมื่อใดที่คุณค่อยๆมอง มองอย่างตั้งใจ
คุณก็เห็นว่า มีเทียนวางเตรียมไว้ให้คุณแล้ว
รอก็แต่ว่า คุณจะจุดมันเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

จงอย่าหลงระเริงไปกับความมืด
มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดหรอก
คุณไม่ต้องรับมันมาทั้งหมด
โลกไม่ได้มืด แค่มันยังสว่างไม่พอเท่านั้นเอง
ปัญหาไม่ได้แย่จนทำให้คุณต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนั้น
แค่คุณยังมองมันไม่ชัดเท่านั้นเอง
เมื่อคุณมองมันชัดขึ้น
คุณจะรู้ว่าคุณต้องทำอะไรต่อไป

ตอนนี้ คุณเห็นแล้วว่ามีเทียนวางอยู่ตรงนั้น
ก็แค่จุดมัน
คุณพร้อมรึยัง
ที่จะไล่ความมืดในใจคุณ
ให้มันสูญสลายไป ด้วยเทียนของคุณเอง...

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ต้องมนต์ มูราคามิ

เมื่อวานได้หนังสือดีๆมาเล่มนึงค่ะ
"Norwegian Wood" หรือในชื่อภาษาไทย "ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย"
ของนักเขียนคนดัง Haruki Murakami
อันที่จริง เคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วค่ะ
แต่ที่ทำให้กลับมาสนใจใหม่และสนใจมากขึ้น
ก็เพราะนิยายเรื่องนี้ได้รับการนำมาทำเป็นภาพยนตร์
รวมทั้งเนื้อหาที่น่าสนใจค่ะ
อาจจะเพราะด้วยเนื้อหาบางส่วนในเรื่อง มีส่วนคล้ายคลึงกับสถานการณ์ในชีวิตจริง
ทำให้รู้สึกอยากอ่านขึ้นมามากมาย
ใช้เวลาในการอ่านรวม 12 ชม. อ่านยาวรวดเดียวจบค่ะ
ส่วนเนื้อหาของเรื่องเป็นอย่างไรนั้น
อีกไม่นานเมื่อมีการโปรโมทหนัง ก็น่าจะได้รับทราบกัน
ในเนื้อเรื่องมีหลายๆประโยคที่น่าประทับใจหลายประโยค
อ่านไปแล้วก็ทำให้รู้สึกสะอึกได้เหมือนกัน

Haruki Murakami คงเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน
สไตล์การเขียนของเขาไม่เหมือนกับคนญี่ปุ่นจริงๆค่ะ
มีกลิ่นไอของตะวันตกอยู่สูงเหมือนกัน
ที่บอกว่า "ต้องมนต์" หมายความอย่างนั้นจริงๆค่ะ
เมื่อเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรก ก็ไม่สามารถวางหนังสือเล่มนี้ลงได้เลย
สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ ค่อยๆขมวดปมของอะไรบางอย่างเข้ามาในสมอง
เสียน้ำตาไปหลายรอบ
หลังอ่านจบ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ
วันนี้ทั้งวัน ทำงานไม่่รู้่เรื่องเลยค่ะ
มนต์ของมูราคามิทำพิษเอาซะแล้ว
วันนี้รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสังอย่างอยู่ในหัว ไม่สามารถสลัดออกไปได้
เป็นความทรมานไ่ม่เคยพบเจอจริงๆค่ะ

บนความดีใจที่เราได้เรียนรู้ความรู้สึกของคนที่ว่างเปล่า
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เหมือนถูกดึงให้เข้าสู่ความเว้าแหว่งนั้น
ไม่อาจจะพูดได้เต็มปากว่า เป็นหนังสือต้องคำสาป
แต่ถ้าเราปล่อยใจให้ไหลไปกับความรู้สึกของตัวละครมากเกินไป
คงกู่ไม่กลับแน่นอน...

หัวใจสลาย คำพูดเรียบง่าย แต่เจ็บปวดเจียนตาย

"ครองชีวิตให้มีสุข" เรโกะหันมาบอกในตอนก้าวขึ้นรถไฟ "นั่นเป็นคำแนะนำข้อเดียว
ที่ฉันจะมอบให้คุณได้ ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว...ครองชีวิตให้มีสุข"
.....