1 พฤศจิกายน 2554

ไม่ได้เข้ามานานเท่าไหร่แล้วนะ
ไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำว่ามีใครแวะเวียนเข้ามาบ้างไหม
น่าสงสารนะ บล๊อกนี่กลายเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์ของคนจิตใจอ่อนไหว
ทั้งๆที่มันสามารถให้คุณค่าได้มากกว่านั้น

แปลกดีเหมือนกัน
ทำไมในวันที่ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวมันยุ่งเหยิง และฉันก็คิดว่ามันจะสามารถผ่านไปได้
กลับมามีเรื่องที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่า จนเกิดคำถามว่าฉันยังสามารถผ่านมันไปได้ไหม

เวลาที่เราพูดถึงความสุข เวลาที่เราบอกว่า เรามีความสุขที่สุด
นั่นเพราะเรารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า มันจะจบแค่ความสุขตรงนั้น
ฉันยอมรับ ว่าฉันได้ถลำลึกมากเกินไป
ฉันมัวเมากับความสุขนั้นมากจนเกินขอบเขตที่ตัวเองเคยตั้งไว้
สติที่เคยเตือนฉันอยู่เสมอมันหายไปตอนไหน
ไม่สิ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายผลักไสมันออกไปเอง

แล้วทันทีที่มีความทุกข์ มันก็เลยถาโถมเข้ามาขนาดนี้
มันก็คงเหมือนมวลน้ำที่ท่วมประเทศเราอยู่มั้ง
มันคงมหาศาลมาก จนคันกั้นน้ำตาของคนๆนึงแตกจนได้
บ้าพอแล้วรึยังเนี้ย

ตอนนี้ฉันพยายามนั่งนึกถึงวันเก่าๆ
วันที่แสนเศร้า ว่าฉันผ่านมันมาได้อย่างไร
ฉันต้องยึดอะไร ฉันต้องคิดยังไง หรือทำยังไงไม่ให้คิด
ฉันเคยผ่านมันมาได้ครั้งนึง
ฉันคงสามารถผ่านมันไปได้อีกทีล่ะน่า

นั่งคิดกับตัวเอง แบบนี้มันเหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง
ไม่สิ พระองค์คงกำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่
หากเรามีความเชื่อมากพอ ศรัทธามากพอ เราก็จะสามารถผ่านมันไปได้
ฉันเชื่อในความรักของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้ คงถึงเวลาที่ฉันจะได้พิสูจน์มันแล้วสินะ

Rabi_Angel่mon

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

หาอะไรคุยกันดีกว่า

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองหาเรื่องอะไรมาคุยมั่งดีกว่า
เผื่อใครเข้ามาจะได้ไม่เซ็ง (ก็มีแค่ไม่กี่คนด้วยอ่ะแหระ)

วันนี้ฉันได้ของฝากจากเชียงใหม่
เป็นผ้าพันคอสีม่วง (ถูกใจสุดๆ)
แต่จะบอกว่าชอบเพราะมันมีสีม่วงก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
ความจริง ฉันชอบและประทับใจในความรู้สึกของคนให้มากกว่า
ฉันรู้สึกว่า การที่เราซื้อของฝากใครสักคน
แสดงว่าเค้าคิดถึงเรา และอยากให้เราได้รับรู้ถึงสถานที่ที่เค้าไป
ต่อให้ไม่มีอะไรจะให้ แค่ความรู้สึกว่า อยากจะให้อะไรสักอย่างก็เป็นสุขแล้ว
ฉันเป็นคนที่บรรยายความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง
แต่ถ้าใครได้อ่านก็คงเข้าใจนะ ว่าความรู้สึกของคนที่ได้รับของจากคนที่เรารักมันเป็นยังไง
วันนี้ฝนตกหนักมาก รถก็ติด แอร์ก็ยังจะเปิด ฮ่าๆ
หนาวมาก ดีนะที่มีผ้าพันคอสุดที่รักช่วยชีวิตเอาไว้
พันแล้วอุ่นเลย ^^
ขับรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี แม้รถจะติดหนักมาก

วันนี้แค่นี้ก่อนแระกัน ไว้เดี๋ยวจะหาอะไรมาคุยอีกนะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

แล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน

และแล้ว หลังจากที่อดหลับอดนอนมาหลายวัน
การสอบภาษาอังกฤษก็เสร็จสิ้นซะที
ทำให้รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้เราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
การจะต้องอดนอนสองสามวันติดกันนี่
ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ สบายมาก
แต่มาวันนี้ รู้สึกว่ามันช่างทรมานจริงๆ

ข้อคิดที่ได้จากการสอบครั้งนี้ ก็คือ
เร่งๆอ่านหนังสือตอนใกล้ๆสอบ สิวขึ้นตรึม
และเป็นบทเรียนที่ดี
ทำให้รู้ว่า ต่อไปนี้ ต้องเตรียมตัว
สำหรับการสอบของจริงซะที

เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ ไม่เคยคอยใคร
ไหลมา ไหลไป
แล้วก็ไหลผ่านไปอีกหนึ่งวัน

วันนี้ได้พูดคุยกับนักเขียนชื่อดัง
เขาให้ข้อคิดเกี่ยวกับการเขียนอะไรสักอย่าง
ว่าเวลาที่เราอยากเขียนอะไร ก็อย่าไปโฟกัสแค่เรื่องเดียว
สภาพแวดล้อมรอบๆข้าง ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน
ถือว่าเป็นประโยชน์มากๆ สำหรับนักเขียนมือใหม่
และเป็นเรื่องดี ที่เราได้มีหัวข้อสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกัน

.....................

อาหารเย็นมื้อนี้อร่อย
อะไรนะที่ทำให้อาหารอร่อย
เครื่องปรุง ส่วนประกอบ ก็ไม่น่าใช่
และแน่นอน ฉันไม่ได้กำลังหิวโซ

ที่อาหารเย็นมื้อนี้อร่อย
ก็เพราะมีเธอนั่งเคียงข้าง....

...................

วันนี้เขียนอะไรไม่ค่อยดีเลย ไม่ไหลลื่น
คงต้องไปนอนให้สมองได้พักผ่อนหน่อยแล้วล่ะ

ราตรีสวัสดิ์

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องกล้วยๆ...

 เป็นบทความที่มีประโยชน์มากจริงๆค่ะ อยากให้สละเวลาอ่านซักหน่อย

กล้วยหอมยอดผลไม้มหัศจรรย์

รู้ หรือไม่ว่า ในกล้วยหอมมีน้ำตาลอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ ซุคโคส ฟรุคโตส และกลูโคส รวมทั้งเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ นั่นหมายความว่า ไม่เพียงแต่กล้วยหอมจะให้พลังงานอย่างเดียว แต่มันสามารถทำให้ร่างกายนำพลังงานเหล่านั้นไปใช้ได้ทันทีอีกด้วย โดยมีงานวิจัยยืนยันออกมาแล้วว่า “กล้วยหอม 2 ใบ ให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานได้ถึง 90 นาที” ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนักกีฬาระดับโลกถึงต้องกินกล้วยหอมกันด้วย....
           ยังไม่หมดเท่านี้นะคะ!!!... กล้วยหอม ยังช่วยรักษาโรคต่างๆ ให้กับร่างกายเราอีกด้วย ไปดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง...

           รักษาอาการเศร้าซึม จากการสำรวจและวิจัยกลุ่มตัวอย่างคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่า ส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะในกล้วยหอมจะมี tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น          
          
            PMS (Premenstrual Syndrome) หรือ อาการก่อนมีประจำเดือน อย่างที่ทราบกันดีว่า สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์ของเธอจะค่อนข้างแปรปรวน หงุดหงิดง่าย ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ปวดหัว ตามมา ฉะนั้นหากรู้ว่าคนใกล้ตัวเริ่มอารมณ์ไม่ปกติ รีบหากล้วยหอมให้เธอกินโดยด่วน  
            
                ช่วยเรื่องโรคโลหิตจาง แน่นอนว่าธาตุเหล็กกับโรคโลหิตจางเป็นของคู่กัน... โชคดีที่เราสามารถหาธาตุเหล็กได้จากผลไม้สีเหลืองใกล้ตัว ที่เรียกว่ากล้วยหอม เพราะธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิต ช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ 
            
                 ลดความดันโลหิต หน่วยงานด้านอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติให้กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มี ส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงเรื่องความดันได้จริง เพราะในกล้วยหอมจะมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่มาก ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเรื่องความดันเลือด

           
              เสริมสร้างพลังสมอง ที่ประเทศอังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham schoolอ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น นอกจากนี้ยังได้มีการวิจัยพบว่า โพแทสเซียมในกล้วยหอมช่วยให้นักเรียนตื่นตัวอยู่เสมอ 
           
               ลดอาการท้องผูก จุกเสียดแน่นท้อง และแผลในกระเพาะอาหาร เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยของลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ส่งผลให้ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ช่วยลดอาการท้องผูก และสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีอยู่ในกล้วยหอมยังช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่ก็ยังทำหน้าที่เคลือบผิวของกระเพาะอาหาร ทำให้เราไม่ต้องเสี่ยงกับโรคแผลในกระเพาะอาหารอีกต่อไป

            
                   แก้อาการเมาค้าง คิดว่าข้อนี้คงถูกใจบรรดาสาวกปาร์ตี้ทั้งหลาย แค่นำกล้วยหอมมาปั่นผสมกับน้ำผึ้ง เท่านี้ก็จะหายจากอาการเมาค้างเป็นปลิดทิ้ง เพราะด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้ง และสารวิตามินในกล้วยจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น......ทีนี้ใครจะ ปาร์ตี้ดึกแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวแฮงค์แล้ว

            
                    ป้องกันโรคอ้วนที่เกิดจากการทำงานมากเกินไป ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเราเปลี่ยนมากินกล้วยหอมทุกๆ 2 ชั่วโมงแทน ร่างกายจะสามารถปรับระดับน้ำตาลในเลือด และลดอาการอยากกินของจุบจิบ 
            
                      ลดความอยากสูบบุหรี่ สำหรับคนที่อยากเลิกสูบบุหรี่ กล้วยหอมช่วยคุณได้ เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากในกล้วยหอม จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน


credit : http://www.puadmens.com/puadmens/health-tips?articleId=16


.................................................

เพิ่มเติมนะคะ  กล้วยหอม มีสารทริพโตเฟนค่อนข้างสูง จึงถือเป็นอาหารอีกชนิดที่ช่วยให้หลับสบาย เพียงเลือกรับประทานกล้วยหอม 1 ลูก ช่วงหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนนอน จะได้ผลอย่างดีเลย

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

การที่จะรักใครสักคน...

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่จำเป็นต้องไปหาเหตุผลว่า
ทำไมจึงไปรักได้...แต่ให้รุ้ไว้ว่า
ทุกวันนี้รัก...และต้องรัก...
ให้ดีที่สุดก็พอ

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่า..
เขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง
แต่ให้มานั่งถามตัวเองดูว่า...
วันนี้ทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก...
หรือยัง...

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่ต้องมัวไประแวงว่า...เขาจะมีใครอื่น
นอกเหนือจากเรา...
แต่ควรระวังใจของตัวเอง
ให้เข้มแข็งพอที่จะไม่รับใคร
เข้ามาในใจอีก...

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่จำเป็นต้องบอกรัก...กันทุกวัน...
เพราะการที่คอยห่วงใยกันอยู่เสมอ...
สามารถทดแทนคำว่ารัก..
ได้ดี...

การที่จะรักใครสักคน...
เมื่อทะเลาะกัน...คำว่าแพ้หรือชนะ
ก็ไม่สำคัญ...
จึงยอมให้เป็นฝ่ายชนะเสมอ...
ถ้าทำให้เขาสบายใจ...

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่จำเป็นต้องตัวติดกัน...
ตลอดเวลา...
แค่มีเขาอยู่ในใจตลอดเวลา...
.....ก็พอ.....

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเขา...
แต่ควรพยายามปรับตัวเอง
ให้เข้ากับเขาจะดีกว่า....


ความรักสอนให้ได้เรียนรู้...ในหลายๆสิ่ง...
ความรักทำให้เป็นมนุษย์...ที่สมบูรณ์แบบ...
ความรักเป็นบทเรียนดีๆ...ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้...
ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง...........

.......................................

นี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้....
จากการที่ได้รัก....ใครสักคน.....

......................................................

ได้มาจาก forward mail เค้าไม่ได้ให้เครดิตมา เลยไม่รู้จะลงชื่อใคร

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ไอ้เหม็นของฉัน

มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น ไม่สามารถทราบได้ แต่นับตั้งแต่จำความไ้ด้ก็รู้สึกว่าขาดมันไม่ได้เลย
ถ้าถามว่า อะไรคือของรักที่สุด แทบไม่ต้องใช้เสี้ยววินาทีในการคิดเลย
ใช่แล้ว มันก็คือ "ไอ้เหม็น"

ฉันไม่รู้ว่าฉันติดมันตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็เหมือนลีโอนาโด ดิคาปิโอไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในฝันตั้งแต่ตอนไหนในหนัง Inception
แต่ที่แน่ๆ ฉันขาดมันไม่ได้เลยจริงๆ

ตอนเรียนอนุบาล จำได้เลยว่าแอบเอาไอ้เหม็นใส่กระเป๋าหนังสือไปโรงเรียนด้วย
เด็กอนุบาลต้องนอนกลางวัน..
ตอนนอนกลางวัน ฉันก็จะเอาไอ้เหม็นมาบี้ๆๆ...แล้วก็ครอกฟี้ไปเลย
พอเริ่มโตมาสักนิด ไอ้เหม็นกลับกลายเป็นหมือนปมด้อยของฉัน
เวลาเอาไปไหนด้วย ก็ชอบมีคนแซว ก็พวกผู้ใหญ่นั่นแหละ
แซวแล้วก็หัวเราะ ชอบใจกันเอง แต่ไม่ใช่กับฉันเลยสักนิด
ฉันแค่เอาไอ้เหม็นมาบี้ๆๆเวลาออกไปกินข้าวข้างนอก
ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เอาไปคลุมหัวใครซักหน่อย
ไม่เห็นจะต้องพูดให้มันดูเหมือนเป็นของน่ารังเกียจเลย
พอโตมากขึ้นถึงวัยทำงาน
ทีนี้ "ไอ้เหม็น" ไม่เคยห่างตัวฉันเลย
ข้อดีของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือ เราทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ
ฉันสามารถพกไอ้เหม็นไปเที่ยวต่างจังหวัด ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว
แม้กระทั่งตอนขับรถ ฉันพามันไปได้ทุกที่เลย

ไอ้เหม็น มีมาหลาย generation แล้ว
ที่มาของมัน แม่ฉันบอกว่า น่าจะมาจากเมื่อก่อนแม่ฉันชอบใส่ชุดนอนผ้าลื่นๆ
เวลาฉันนอนข้างๆแม่ ก็ชอบไปจับชายกระโปรงลื่นๆ จับๆๆลื่นๆๆๆแล้วก็หลับสบาย
ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นก็ได้นะ
ไ้อ้เหม็นรุ่นแรก ก็นั่นแหละ ชุดนอนแม่
จับๆๆบี้ๆๆ ยึดเลย ไม่ให้แม่เอาไปซักด้วยนะ แหกปากร้องแน่นอน
และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ "ไอ้เหม็น"
คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ เพราะก็สมชื่ออ่ะนะ
ไอ้เหม็นรุ่นชุดนอนแม่อยู่กับฉันนานมาก
จำไม่ได้ว่าแม่เอาไปทิ้งเมื่อไหร่ แต่ที่รู้ก็คือ ร้องไห้...นานมากกกกกก

มีช่วงหนึ่งที่ฉันไม่มีไอ้เหม็นคู่กาย
ฉันกลายเป็นเด็กปกติ แต่ฉันจำช่วงชีวิตตอนนั้นไม่ได้เลย
ฉันจำไม่ได้ว่าตอนไม่มีไอ้เหม็นฉันทำอะไร
ความทรงจำฉัน จำได้แต่ตอนที่ฉันยังมีไอ้เหม็นอยู่

การแสวงหาไอ้เหม็นที่ดี ที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่เรื่องง่าย
ก็อย่างที่ฉันบอก ไอ้เหม็นของฉันมีหลาย generation ถ้านับแล้วก็น่าจะถึงสิบ
ไอ้เหม็นรุ่นปัจจุบันนี้ ฉันเลยตั้งใจว่าจะดูแลมันอย่างดี
ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ
...........................................................................................................
ฉันพูดถึงมันทำไมหน่ะหรอ
ความรักของฉัน เปรียบเหมือนไอ้เหม็น.....
.
.
.
มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น ไม่สามารถทราบได้ แต่นับตั้งแต่จำความรู้สึกนี้ไ้ด้ก็ขาดมันไม่ได้เลย
ถ้าถามว่า อะไรคือของรักที่สุด แทบไม่ต้องใช้เสี้ยววินาทีในการคิดเลย
ใช่แล้ว สิ่งนั้นก็คือ "คนที่ฉันรัก"

ฉันไม่รู้ว่าฉันติดเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็เหมือนลีโอนาโด ดิคาปิโอไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในฝันตั้งแต่ตอนไหนในหนัง Inception
แต่ที่แน่ๆ ฉันขาดเขาไม่ได้เลยจริงๆ

ตอนคบกันแรกๆ จำได้เลยว่าฉันต้องแอบซ่อนความรู้สึกดีๆที่มีต่อเขา เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียด
เย็นย่ำหลังทำงาน เรากลับมาคุยโทรศัพท์กัน
ตอนเราคุยโทรศัพท์ ฉันก็ได้ซึมซับความรู้สึกดีๆเหล่านี้ของความรัก...แล้วก็ครอกฟี้ไปเลย
พอเริ่มคบกันมาได้สักพัก ความรักของฉันกลับกลายเป็นเหมือนปัญหาหน่อยๆกับฉัน
คนที่ฉันรัก มักจะกลัวว่าเค้าไม่เหมาะสม ไม่คู่ควร เป็นเหมือนจุดด้อยในชีวิตฉัน
เวลาไปไหนมาไหนกัน เขาก็ชอบตำหนิตัวเขาเอง
คนอื่นอาจจะมองว่าไม่เหมาะสม ไมู่่คู่ควร แต่ไม่ใช่กับฉันเลยสักนิด
ฉันแค่อยากจะรัก อยากจะไปไหนมาไหนกับคนที่ฉันรัก
ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เอาแฟนไปเที่ยวต่อยใครซักหน่อย
ไม่เห็นจะต้องพูดให้เขาดูเหมือนเป็นนักเลงหัวไม้เลย
พอเราคบกันนานขึ้น จนถึงทุกวันนี้
ทีนี้ "คนที่ฉันรัก" เราแทบไม่เคยห่างกันเลย
ข้อดีของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือ เราทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ
ฉันสามารถไปไหนมาไหนกับเขาได้ทุกที่ ไม่ว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว
แม้กระทั่งตอนขับรถ(เช้าๆ) ฉันสามารถอยู่กับเขาได้ตลอดเวลา

ความรักของฉัน มีมาหลายครั้งแล้ว
ที่มาของความเชื่อในความรักของฉัน อาจจะเริ่มมาจากการอ่านการ์ตูนตาหวาน
ความรักในหนังสือ มันช่างหอมหวานซะจริงๆ
ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นก็ได้นะ
รักครั้งแรก เริ่มไม่ค่อยสวย จบไม่ค่อยดีเท่าไหร่
จะดีได้ไง ก็รักเขาข้างเดียว
ฉันเก็บความรู้สึกนั้นไว้นานมาก
ฉันจำได้ว่าพอรุกเข้าหน่อย เขาก็ตีตัวออกห่าง
พร้อมกับบอกว่ารักไม่ได้จริงๆ และแน่นอนว่าฉันนอนร้องไห้ทั้งคืน

มีช่วงหนึ่งที่ฉันไม่ได้มีความรัก
ฉันกลายเป็นคนธรรมดา แต่ฉันจำช่วงชีวิตตอนนั้นไม่ได้เลย
ฉันจำไม่ได้ว่าตอนไม่มีความรักฉันทำอะไรได้บ้าง
ความทรงจำฉัน จำได้แต่ตอนที่ฉันยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรักอยู่

การแสวงหาความรักที่ดี ที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่เรื่องง่าย
ก็อย่างที่ฉันบอก ความรักของฉัน มีมาหลายครั้งแล้ว ถ้านับแล้วก็น่าจะสักสาม
คนรักคนปัจจุบันนี้ ฉันเลยตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะดูแลเขาอย่างดี
ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ....
 ...........................................................................................................

ฉันบี้ไอ้เหม็นตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือเกิน 20 ปีมาแล้ว
แต่ฉันยังไม่รู้สึกเบื่อไอ้เหม็นเลย
และแน่นอน ฉันก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อคนรักของฉันเลย

บางวันไอ้เหม็นไม่ลื่น บางวันมันหอมจากการที่แม่เอาไปซัก บางวันหมาที่บ้านเอามันไปกัดจนมันเหม็นเกินไป
ฉันก็ยังรักมัน และพร้อมที่จะเอานิ้วไปจับ ไปบี้มันเสมอ

บางวันคนรักของฉันหงุดหงิด ฉุนเฉียว ฉันทำอะไรก็ไม่สบอารมณ์ ติสท์แตก
ฉันก็ยังรักเขา และพร้อมที่จะโอบกอดเขาไว้เสมอ

ฉันรักไอ้เหม็นที่มันลื่นๆเหลือบๆยังไง ฉันก็รักคนรักของฉันไม่ต่างกัน....