1 พฤศจิกายน 2554

ไม่ได้เข้ามานานเท่าไหร่แล้วนะ
ไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำว่ามีใครแวะเวียนเข้ามาบ้างไหม
น่าสงสารนะ บล๊อกนี่กลายเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์ของคนจิตใจอ่อนไหว
ทั้งๆที่มันสามารถให้คุณค่าได้มากกว่านั้น

แปลกดีเหมือนกัน
ทำไมในวันที่ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวมันยุ่งเหยิง และฉันก็คิดว่ามันจะสามารถผ่านไปได้
กลับมามีเรื่องที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่า จนเกิดคำถามว่าฉันยังสามารถผ่านมันไปได้ไหม

เวลาที่เราพูดถึงความสุข เวลาที่เราบอกว่า เรามีความสุขที่สุด
นั่นเพราะเรารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า มันจะจบแค่ความสุขตรงนั้น
ฉันยอมรับ ว่าฉันได้ถลำลึกมากเกินไป
ฉันมัวเมากับความสุขนั้นมากจนเกินขอบเขตที่ตัวเองเคยตั้งไว้
สติที่เคยเตือนฉันอยู่เสมอมันหายไปตอนไหน
ไม่สิ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายผลักไสมันออกไปเอง

แล้วทันทีที่มีความทุกข์ มันก็เลยถาโถมเข้ามาขนาดนี้
มันก็คงเหมือนมวลน้ำที่ท่วมประเทศเราอยู่มั้ง
มันคงมหาศาลมาก จนคันกั้นน้ำตาของคนๆนึงแตกจนได้
บ้าพอแล้วรึยังเนี้ย

ตอนนี้ฉันพยายามนั่งนึกถึงวันเก่าๆ
วันที่แสนเศร้า ว่าฉันผ่านมันมาได้อย่างไร
ฉันต้องยึดอะไร ฉันต้องคิดยังไง หรือทำยังไงไม่ให้คิด
ฉันเคยผ่านมันมาได้ครั้งนึง
ฉันคงสามารถผ่านมันไปได้อีกทีล่ะน่า

นั่งคิดกับตัวเอง แบบนี้มันเหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง
ไม่สิ พระองค์คงกำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่
หากเรามีความเชื่อมากพอ ศรัทธามากพอ เราก็จะสามารถผ่านมันไปได้
ฉันเชื่อในความรักของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้ คงถึงเวลาที่ฉันจะได้พิสูจน์มันแล้วสินะ

Rabi_Angel่mon

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

ความคิด

ฉันได้เรียนรู้ที่จะดึงมีดที่ตัวฉันเคยหยิบมาทิ่งแทงหัวใจตัวเองออก
ฉันเรียนรู้ที่จะเอามันออก แต่ไม่เคยเรียนรู้ว่าบาดแผลนั้นมันยังคงอยู่
บทเรียนที่ฉันต้องเจอต่อไป คือการอยู่กับบาดแผลนั้นให้ได้
เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปให้ได้


ในแต่ละวันที่ผันผ่านไป ฉันพบว่าตัวฉันเองไม่สามารถห้ามความคิดใดๆได้เลยอย่างแท้จริง
แม้ในเวลาที่มีสติที่สุด ฉันอาจจะยับยั้งตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกไปได้
หากแต่ในสมอง มันยังคงทำหน้าที่ที่ผิดแผกของมันอยู่
อาจไม่ใช่สมองก็ได้ที่ทำงาน...

ความคิด จินตนาการ แท้จริงมันคือความว่างเปล่า
มันคือภาพลวงตาที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง
เราสร้างมัน แล้วเราก็ดึงตัวเราเองเข้าไป
ในชั่วขณะแรก เรารู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงจินตนาการ
"ไม่หรอก แค่คิดไปเอง"
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราปล่อยให้มันครอบงำเรามากเกินไป
มันก็จะกลายเป็นความจริง เป็นสิ่งจับต้องได้ในความคิดของเรา
และในชั่วขณะนั้น เราก็จะถูกความคิดดูดกลืน ให้ลืมความจริงแท้ที่ว่า เรานี่แหละที่สร้างมันขึ้นมาเอง

ฉันค้นพบว่าตัวฉันเองเข้มแข็งพอที่จะไม่พูดหรือถามอะไรออกไป
เพราะฉันรู้ดีว่า อะไรที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดสำหรับฉัน
แต่ฉันก็ค้นพบเช่นกันว่าตัวฉันเองอ่อนแอเกินไปที่จะไม่คิดอะไรเลย
แม้ฉันจะรู้ว่าอะไรที่ควรคิดหรือไม่ควรคิด
แต่ความคิดมันไม่เคยฟังใคร มันก็แค่ทำในสิ่งที่มันต้องทำ คือ คิด คิด คิด...

สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้ คือ มีสติ
และโอบกอดความรักที่มีอยู่ในใจไว้อย่างดี
ความคิดทำร้ายฉันได้ แต่มันไม่สามารถทำร้ายหัวใจฉันได้
แม้แต่น้อย...

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

รักทุกฤดู

ในค่ำคืนอันเหน็บหนาว
ดวงดาวสุกสกาวอยู่บนฟากฟ้า
สามลมแห่งเหมันต์ฤดูโบกพัดมา
แต่ในอุรา...กลับอบอุ่นเหลือเกิน

แม้อากาศจะร้อนแค่ไหน
หากแต่หัวใจก็ยังยิ้มได้
ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นอยู่ภายใน
แสงแดดแรงกล้าสักเพียงใด...ก็มิอาจทำลายลง

เมฆหมอกห้อมล้อมคลุมท้องฟ้า
สายฝนหล่นลงมาไม่ขาดสาย
ความรักยังอยู่ในใจมิเสื่อมคลาย
เป็นดั่งฝนชุ่มฉ่ำโปรยปรายให้สุขใจ

ฤดูกาลเปลี่ยนผัน
หากแต่ใจกลับมิหวั่นไหว
จะร้อน...หนาว...เปียกปอนเท่าใด
ฤดูกาลผันผ่านไป...หัวใจกลับยังมั่นคง

หลังจากได้ฟังเพลง รักทุกฤดู ของน้ำชาโดยบังเอิญ
ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากถ่ายทอดอะไรออกมาบ้าง
ตอนนี้อาจจะยังไม่ไพเราะสวยงาม เหมือนกับในเนื้อเพลง
คงต้องอาศัยระยะเวลาในการฝึกปรือค่ะ

สิ่งที่อยากถ่ายทอดออกไปก็คือ
กาลเวลาที่แปรเปลี่ยนไป มีคุณค่ามีความหมายในตัวของมันเอง
ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน มีอารมณ์เป็นของตัวเอง
แต่ยามเราอยู่ในห้วงรัก ความหมายของฤดูกาลต่างๆก็เปลี่ยนไป
ลมหนาวไม่อาจสร้างความหนาวได้
เพราะความรักคอยห่มใจเราไว้ตลอด
ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่อาจต้านทานความสดใส สดชื่นในรักได้
แม้แต่สายฝน ที่เคยว่าหม่นหมอง
แต่ในยามรัก ละอองฝนกลับดูงดงามแปลกตา

อาจจะมีคนสงสัยว่า แล้วถ้าเราไม่มีความรักล่ะ
ในขณะที่คุณอ่านถึงบรรทัดนี้
ลองถามตัวเองว่า คุณรักใครมากที่สุด
ถ้ามองซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร ลองถามใหม่ คุณรักตัวเองไหม
แค่ความรักที่คุณมีให้ตัวคุณเอง ก็สร้างความแตกต่างบนโลกใบนี้แล้ว
แม้รักเค้าข้างเดียว นั่นก็คือความรัก
คุณโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ได้รักใครสักคน
ฉันยังคงเชื่ออยู่เสมอว่า ความรักไม่อาจทำร้ายใครได้
ทุกวันนี้ที่ฉันยังยิ้มได้ เพราะความรักยังคงอยู่กับฉัน
ความรักไม่จำเป็นต้องมีผู้รับ
สิ่งที่ต้องทำ ก็แค่ให้ความรักไป
ความรักเป็นกิริยา เป็นสิ่งที่คุณต้องทำ มันถึงจะออกไปได้
เมื่อมันได้ออกไปแล้ว อย่าได้ไปคาดหวังว่ามันจะหวนกลับมาในรูปแบบเดิม
อย่าคาดหวังกับความรัก คุณก็แค่ให้มันออกไป

สิ่งที่ฉันได้ค้นพบจากความรัก คือความอิ่มใจที่ได้รัก
น้ำตาเป็นส่วนประกอบอันหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้นจงปล่อยให้มันเกิดขึ้น
น้ำตาอาจทำให้เราหนาวเหน็บในฤดูหนาว
อาจทำให้ใจร้อนผ่าวในฤดูร้อน
หรืออาจทำให้เราเปียกปอนในฤดูฝน
แต่วันนึง มันจะเหือดแห้งไป
สิ่งเดียวที่ไม่เคยหายไปจากใจ นั่นคือ ความอิ่มใจที่ได้รักใครสักคน
มันเป็นความรู้สึกที่ยังคงอยู่ในใจ
แม้วันเวลาจะนำพาฤดูกาลเวียนผ่านไปเท่าไหร่ก็ตาม

ขอบคุณโลกใบนี้ที่สร้างสรรค์ความบันเิทิงในรูปบทเพลง
เพลงเพราะๆ ความหมายดีๆจึงได้ก่อเกิดมา

รักทุกฤดู

นับแต่วันที่เจอเธอแล้ว
ฉันได้เจอกับความเปลี่ยนแปลงมากมายเหลือเกิน
เหมือนฤดูที่ต่าง ฉันได้เจอกับฤดูร้อน
แสงตะวันส่องใจที่เคยหม่นหมองให้ละลาย

อยู่ๆ ก็มีลมฝนที่ตกหล่นมาเป็นสาย
เป็นฤดูที่เหงาใจ เหน็บหนาวหัวใจมากๆ เลย
ติดอยู่ในฤดูรัก ไม่อาจตัดใจออกไปไกลเธอสักครั้ง

ยังไงก็รักเธอคนเดียว คนเดียวที่รักทั้งหัวใจ
วันเวลาผ่านไป ฤดูเปลี่ยน
ฉันไม่เปลี่ยน รักเธออยู่อย่างนั้น
เธอคือความรักทุกฤดู คือฤดูรักที่ยาวนาน
เธอคือความผูกพันที่คอยผูกใจฉันอยู่
รักเธออยู่เหมือนเดิม

แม้ว่าวันต่อไปจากนี้
แม้จะมีอะไรเปลี่ยนไปมากมายก็ตาม
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม้ว่ามันจะมีวันนั้น
ฉันกับเธออาจเจอกับความขัดแย้งไม่เข้าใจ

สิ่งหนึ่งที่ใจมันรู้ อยากบอกให้เธอได้รู้
ความรักมันไม่หายไป ยังหมุนรอบเธอทุกๆ วัน
จะผ่านไปฤดูไหน ไม่อาจเปลี่ยนใจจากเธอไปเลยสักครั้ง

ยังไงก็รักเธอคนเดียว คนเดียวที่รักทั้งหัวใจ
วันเวลาผ่านไป ฤดูเปลี่ยน
ฉันไม่เปลี่ยน รักเธออยู่อย่างนั้น
เธอคือความรักทุกฤดู คือฤดูรักที่ยาวนาน
เธอคือความผูกพันที่คอยผูกใจฉันอยู่
รักเธออยู่เหมือนเดิม

วันนี้ วันไหน ให้รู้ไว้อย่างฉันจะยังรักเธอ

ยังไงก็รักเธอคนเดียว คนเดียวที่รักทั้งหัวใจ
วันเวลาผ่านไป ฤดูเปลี่ยน
ฉันไม่เปลี่ยน รักเธออยู่อย่างนั้น
เธอคือความรักทุกฤดู คือฤดูรักที่ยาวนาน
เธอคือความผูกพันที่คอยผูกใจฉันอยู่
รักเธออยู่เหมือนเดิม

credit : www.siamzone.com

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

On My Own

ในวันสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้
ด้วยความบังเอิญ ที่รถเมล์แดงที่เราเหมาเค้ามาตลอด trip นี้เสีย
ทำให้เราต้องระหกระเหไปรอรถคันต่อไปที่มาถึงเร็วที่สุด
ไม่ช้าไม่นาน รถเมล์แดงคันแรกก็มาถึง
แย่ละ เค้ามีผู้โดยสารมาอยู่แล้วคนนึง เป็นชาวต่างชาติ งี้เราก็เหมาไม่ได้อ่ะสิ
แต่ก็ไม่เป็นไร ขอนั่งไปด้วยกัน เพราะเรากำลังไปตลาดกัน ทางผ่านอยู่แล้ว
พอขึ้นนั่งปุ๊บ พี่ฝรั่งรีบควักกล้องถ่ายรูปออกมาปั๊บ
นึกว่าอยากถ่ายรูปกับคนสวย (555 บรรทัดนี้ไม่ต้องอ่านก็ได้)
ขอให้เราถ่ายรูปเค้านั่งอยู่บนรถเมล์ให้หน่อย
เรื่องง่ายๆ กดแช๊ะเดียว คนถูกถ่ายยิ้ม คนถ่ายก็ยิ้มด้วย

ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก ทำให้เรามีโอกาสคุยกันเพียงเล็กน้อย
เค้าเป็นฝรั่งที่น่ารักมาก (หมายถึงนิสัยใจคอ) เค้าเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนากับพวกเราก่อนด้วยซ้ำ
เราคุยกัน ทำให้รู้ว่าเค้าก็เพิ่งมาจากกรุงเทพฯ มาเที่ยวเชียงใหม่
และโปรแกรมถัดไปคือไปเกาะช้าง ???
กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เกาะช้าง ดูลำดับมันงงๆไหมนะ ทำไมไม่ไปเกาะช้างก่อนล่ะ
เค้าขำ แล้วตอบกลับมาว่ามันไม่ make sense ใช่ไหมล่ะ
เราก็เลยขำกัน แต่ฉันเข้าใจในสิ่งที่เค้าทำ

ใช่แล้ว การเดินทาง ท่องเที่ยวมันไม่จำเป็นต้องมีแผนหรอก
การเดินทางของชีวิตก็เช่นกัน มันไม่ต้องมีแผน
การมีแผน จะทำให้ชีวิตพังได้ง่ายขึ้น
เวลาที่อะไรๆไม่เป็นไปตามแผน ทุกสิ่งทุกอย่างจะคลาดเคลื่อนไปหมด
เวลาที่อะไรๆไม่เป็นไปตามแผน เราจะไปต่อไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
เพราะเรายึดติดกับ"แผน" เราทำอะไรนอกแผนการไม่ได้ ไม่มีแผนเราก็ไม่ซึ่งจุดมุ่งหมาย
แต่ลองคิดอีกมุมนึงดูสิ การไม่มีแผนนี่สิดี
อย่างน้อยถ้าอะไรๆไม่เป็นไปตามแผน เราก็จะได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่
คิดดูสิ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผน ชีวิตมันจะจืดชืดแค่ไหน
คุณจะมีโอกาสได้เจอสถานการณ์คับขัน หรือความรู้สึกประหลาดๆเหล่านี้ได้อย่างไร
ไม่จำเป็นต้องมีแผน ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิตเสมอ
พี่ฝรั่งคนนี้เค้าไม่มีแผน เค้าแค่คิดไว้ว่าจะไปที่นั่นที่นี่
แต่ท้ายที่สุด เค้าจะไปโผล่ที่ไหนเค้าก็ยังไม่รู้

แค่คุณพร้อมที่จะก้าวออกไป สิ่งสำคัญที่สุด คือ ก้าวแรก
การเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ เป็นการเดินทางด้วย"ตัวเอง"ครั้งแรกของเค้า
เค้าพูดคำว่า on my own ได้อย่างภาคภูมิใจ ฉันเห็นมันจากน้ำเสียงที่เค้าถ่ายทอดออกมา
นี่แหละ สิ่งที่ฉันพลาดมาโดยตลอด
ในสมัยตอนเรียน ป.6 คุณครูให้การบ้านเราเป็นการทำจิ๊กซอประเทศไทย
(โหดไปไหมสำหรัยเด็กประถม)
ฉันตั้งใจระบายสีแผนที่ประเทศไทย ลงเส้นตัดขอบทุกจังหวัดอย่างสวยงาม
ไม่ต้องสงสัย โซนแถวๆกรุงเทพฯ ฉันระบายสีเดียวกัน เพราะมันเล็กเกินไป ฉันตัดไม่ได้
พอทำเสร็จ ด้วยความภูมิใจ ฉันนั่งเล่นจิ๊กซอไทยแลนด์ของฉัน
ค่อยๆเรียงจังหวัดต่างๆ แล้วค่อยๆนึกว่าจังหวัดนี้ฉันเคยไปไหม ไปเจออะไรบ้าง
ในตอนนั้น ไกลที่สุดที่ฉันเคยไป คือ อยุธยา
มันจะดูโหดร้ายไปไหมสำหรับคนไทย ที่มีจังหวัดมากถึง 70 กว่า แต่ไปได้ไกลสุดแค่อยุธยา
ในตอนนั้น ฉันเลยตั้งปณิธานไว้ว่า โตขึ้นฉันจะเที่ยวให้ครบทุกจังหวัด
ฉันจะซื้อแผนที่ประเทศไทยใบใหญ่ๆมาติดผนัง
แล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึกของแต่ละจังหวัดเอาไปติดไว้

....เวลาผ่านไป 15 ปี...
ภายในรถเมล์แดงที่กำลังแล่นถึงจุดหมายปลายทาง
อดีตในตอนนั้นได้หวนกลับมาหาฉันอีกครั้ง
ผู้มาเยือนจากต่างถิ่นกลับเป็นคนที่กระตุ้นเตือนให้ฉันจำประเทศของตัวเองได้
ไม่ใช่ว่าฉันถนัดเที่ยวต่างประเทศ แต่ความจริงก็คือ ฉันไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลยต่างหาก
 ใช่แล้ว นี่แหละคือก้าวแรกของเค้า การท่องเที่ยว"ด้วยตัวเอง"
และนี่ก็อาจจะเป็นการเปิดทางให้ ฉันได้มี"ก้าวแรก"แบบเค้าบ้าง
การมาเชียงใหม่ครั้งนี้ ฉันพลาดก้าวแรกของฉันไปแล้ว
แต่ไม่เป็นไร ยังไงมันต้องมีคราวหน้าแน่นอน

ฉันอยากเห็นประเทศไทยในแบบของฉัน
หนังสือนำเที่ยวไม่จำเป็น
ฉันอยากเห็นชีวิตในแบบที่ฉันเป็น
มันต้องมีสักวันที่ฉันจะได้เริ่มก้าวเดิน "on my own" ได้อย่างภาคภูมิใจ

(7 ม.ค. 2554 : หลังกลับจากเชียงใหม่)

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

ไม่มีชื่อเรื่อง

-1-
ฉันคนนี้
อยู่ตรงนี้
อย่างเดียวดาย

-2-
ค่ำคืนผันผ่าน
ลมหนาวพัดพา
น้ำตาพรั่งพรู

-3-
ความเหงาคืออะไร
ความเศร้าคืออะไร
เสียใจเป็นอย่างไร

-4-
อะไรที่อยู่ในใจ
อะไรที่อยู่ข้างใน
แล้วอะไรที่อยู่เบื้องหลังมัน

-5-
ลมหนาว
อากาศหนาว
ใจหนาว

-6-
เดียวดาย
อ้างว้าง
เคว้งคว้าง...

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

01.01.11

ความสำคัญของวันขึ้นปีใหม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันเป็นวันแรกของปี
ไม่มีใครรู้หรอกว่า วันไหนคือวันแรกจริงๆ วัฏจักรของวันเวลาเดินเวียนไปในรูปแบบเดิมๆของมันตลอดเวลา
วันปีใหม่จึงมีคุณค่าขึ้นมา เพียงเพราะเรามอบค่าให้มัน
มอบให้มันเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว วันทุกวันก็คือการเริ่มต้นวันใหม่
ฉันจะไม่กล่าวโทษคนที่คิดจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆในวันขึ้นปีใหม่
เราทุกคนต่างก็ต้องการแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างในการเริ่มต้น
และ อะไรก็ตามที่ "ใหม่" ย่อมเป็นการเริ่มต้นที่ดี

ในวันนี้ โดยไม่ทันตั้งตัว ฉันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกใหม่ๆที่เกิดขึ้นภายใน
แปลกมากทั้งๆที่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่มันกลับดูแปลกใหม่ไปซะหมด
ทุกๆปีี่ผ่านมา ฉันไม่เคยได้เอ่ย สวัสดีปีใหม่ กับคนในครอบครัว
เราต่างคนต่างก็มีปาร์ตี้สนุกสนานเป็นของตัวเอง
ในตอนนั้น การเื้อื้อนเอ่ยอะไรต่อกันจึงไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่ในความเห็นของฉัน
เมื่อคืนนี้ คืนวันส่งท้ายปีเก่า ฉันมีโอกาสได้เห็นการพูดสวัสดีปีใหม่กับคนในครอบครัว
บทสนทนาระหว่างพ่อลูก อวยพรวันปีใหม่กัน
นั่นละมั้ง ที่เป็นจุดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่นี้ขึ้นมาภายใจจิตใจของฉัน
ก่อนการเดินทางไปฉลองกับพี่สาว
ฉันไปรอพี่สาว และแวะเข้าห้องน้ำที่ห้างเทสโก้ โลตัส
แม่บ้านกำลังถูพื้นห้องน้ำอยู่ เราสบตากันผ่านกระจกในห้องน้ำ
แม่บ้านก็เลยพูดขึ้นมาว่า ตัวทำงานอยู่นี่ แต่ใจไปอยู่ที่อุบลแล้ว
ในตอนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรหนักๆอยู่ที่คอ
เราสนทนากันสักครู่หนึ่ง จนพี่ฉันโทรมาว่าเค้ามาถึงแล้ว
ก่อนออกจากห้องน้ำ ฉันหันไปหาป้าแม่บ้านคนนั้น
แล้วเอ่ย "สวัสดีปีใหม่นะคะ"
จากคำอวยพรปีใหม่ของพ่อลูก มาถึงการเอ่ยสวัสดีปีใหม่กับคนแปลกหน้า
ฉันว่าบางอย่างในตัวฉันมันกำลังเปลี่ยนไปทำให้ฉันกลายเป็นคนใหม่

เช้าวันนี้ ก่อนออกจากบ้าน (ความจริงก็คือ ฉันเดินออกไปแล้วหน่อยนึง)
ฉันพูดคำว่า "สวัสดีปีใหม่จ้าป่ะป๊า หม่าม้า"
แล้วฉันก็เดินออกจากบ้านมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าตัวเอง
นี่เป็นสิ่งใหม่สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับฉันในวันขึ้นปีใหม่
......