1 พฤศจิกายน 2554

ไม่ได้เข้ามานานเท่าไหร่แล้วนะ
ไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำว่ามีใครแวะเวียนเข้ามาบ้างไหม
น่าสงสารนะ บล๊อกนี่กลายเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์ของคนจิตใจอ่อนไหว
ทั้งๆที่มันสามารถให้คุณค่าได้มากกว่านั้น

แปลกดีเหมือนกัน
ทำไมในวันที่ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวมันยุ่งเหยิง และฉันก็คิดว่ามันจะสามารถผ่านไปได้
กลับมามีเรื่องที่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่า จนเกิดคำถามว่าฉันยังสามารถผ่านมันไปได้ไหม

เวลาที่เราพูดถึงความสุข เวลาที่เราบอกว่า เรามีความสุขที่สุด
นั่นเพราะเรารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า มันจะจบแค่ความสุขตรงนั้น
ฉันยอมรับ ว่าฉันได้ถลำลึกมากเกินไป
ฉันมัวเมากับความสุขนั้นมากจนเกินขอบเขตที่ตัวเองเคยตั้งไว้
สติที่เคยเตือนฉันอยู่เสมอมันหายไปตอนไหน
ไม่สิ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายผลักไสมันออกไปเอง

แล้วทันทีที่มีความทุกข์ มันก็เลยถาโถมเข้ามาขนาดนี้
มันก็คงเหมือนมวลน้ำที่ท่วมประเทศเราอยู่มั้ง
มันคงมหาศาลมาก จนคันกั้นน้ำตาของคนๆนึงแตกจนได้
บ้าพอแล้วรึยังเนี้ย

ตอนนี้ฉันพยายามนั่งนึกถึงวันเก่าๆ
วันที่แสนเศร้า ว่าฉันผ่านมันมาได้อย่างไร
ฉันต้องยึดอะไร ฉันต้องคิดยังไง หรือทำยังไงไม่ให้คิด
ฉันเคยผ่านมันมาได้ครั้งนึง
ฉันคงสามารถผ่านมันไปได้อีกทีล่ะน่า

นั่งคิดกับตัวเอง แบบนี้มันเหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง
ไม่สิ พระองค์คงกำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่
หากเรามีความเชื่อมากพอ ศรัทธามากพอ เราก็จะสามารถผ่านมันไปได้
ฉันเชื่อในความรักของตัวเองมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้ คงถึงเวลาที่ฉันจะได้พิสูจน์มันแล้วสินะ

Rabi_Angel่mon

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ห้วงเหวแห่งความคิด

ในบางครั้ง ฉันก็ชอบดำดิ่งอยู่ในห้วงคิดอะไรสักอย่าง
การที่ได้ปล่อยให้ใจได้คิดพิจารณาอะไรๆ ก็เป็นเหมือนความบันเทิงอย่างหนึ่ง
ยามใดที่เรื่องที่คิดไว้ พาใจให้ล่องลอย ผ่อนคลาย
ก็ถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่ดี

แต่คงไม่ใช่ทุกครั้ง ที่เราจะคิดถึงแต่เรื่องดีๆ
ในบางครั้ง ความคิดด้านลบก็แทรกตัวเข้ามาในจิตใจเรา
เจ้าความคิดพวกนี้ มันอยู่ตรงนั้นเสมอ
รอคอยเวลา เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพลาด แม้เพียงน้อยนิด
มันจะแทรกซึมเข้ามาในจิตใจเราทันที
โดยไม่ทันตั้งตัว เราก็ตกอยู่ในห้วงความคิดแย่ๆเหล่านั้นไปซะแล้ว

บ่อยครั้งเหลือเกิน ที่ฉันมักจะเกิดคำถามกับตัวเอง
ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันไม่เป็นอย่างเขา ทำไม ทำไม ทำไม
แล้วคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตัวเราเอง
ก็มักไม่ค่อยจะจรรโลงจิตใจซักเท่าำไหร่

คนเรามีความสามารถพิเศษ ที่มักจะทำให้เรื่องแย่ แลดูย่ำแย่เข้าไปใหญ่
เวลาที่คนเราเกิดปัญหา
เรามักมองเห็นขนาดของมันใหญ่กว่าความเป็นจริงเสมอ
ไม่ใช่ประเภทว่า เรื่องของเธอช่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับของฉัน
ปัญหาของใครของมัน เราบอกไม่ได้ว่า ปัญหาของใครใหญ่กว่ากัน
แต่ที่สำคัญ เรามองปัญหาของเราเองใหญ่กว่าความเป็นจริงเสมอ

ความทุกข์ใจ ปัญหาใดๆก็ตาม มันไม่มีขนาดสัมบูรณ์
ขนาดของมัน เป็นปฏิภาคโดยตรงกับสภาพจิตใจ
เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกแย่ ปัญหาต่างๆจะดูใหญ่เสมอ
แต่ในขณะที่คุณกำลังสบายใจ ลองนึกย้อนกลับไป
สิ่งที่เคยทำให้คุณเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อครั้งก่อน
คุณอาจจะหัวเราะในความเขลาของตัวเองก็ได้

ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าไปอยู่ในห้วงเหวลึกของความคิด
เคยคิดว่าความตาย คงเป็นคำตอบของความทุกข์ใจ
เราทุกคน เกิดมาพร้อมกับความตาย
เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มเกิด เราก็เริ่มตายกับทุกคนเช่นกัน
ถ้าหากคุณกลัวตาย ก็จงอย่าเกิด เพราะมันเป็นสิ่งที่คู่กันมาตั้งแต่ต้น
ฉันไม่กลัวที่จะตาย เพราะฉันรู้ว่าซักวันเราทุกคนคงไปถึงที่ๆเดียวกันนั้น
แต่ความตายไม่ได้ยังประโยชน์ใดๆให้ใครเลย แม้แต่ตัวฉันเอง
ทำไมเราไม่เก็บความตายไว้ในที่ของมัน
เมื่อถึงเวลาให้มันมาหาเราเอง
แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตระหว่างนี้ให้เต็มที่
บอกได้คำเดียว ว่ามันยากเย็น และทรมานมากกว่าที่ฉันจะปีนหน้าผาความคิด
แล้วขึ้นมายืนอยู่ได้
แต่ก็นั่นแหละ ฉันขึ้นมาแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้ใครก็ตามที่อยากหลุดพ้นไปจากโลกใบนี้
ถ้าคุณทุกข์ใจ ก็ขอให้รับรู้ว่า มีคนอีกมากมายที่ทุกข์ใจไม่แพ้คุณ
ขอให้รับรู้ว่า คุณยังมี"เพื่อน"อยู่อีกมากมาย
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน"ปีน"ขึ้นมาให้ได้
ฉันขึ้นมาแล้ว ทำได้ก็แค่เพียงหย่อนเชือกให้คุณจับ
แต่เชือกของฉันคงไม่ได้ยาวมากมาย
คงต้องอาศัยแรงใจของคุณส่งพลังให้คุณปีนมันขึ้นมาได้
และเมื่อมือคุณเอื้อมถึงเชือกของฉัน
ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน...
ฉันจะดึงคุณขึ้นมาเอง.....

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันเกิดแห่งความรัก


มนุษย์ ภายหลังการปฏิสนธิ
เราจะเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มารดา เป็นเวลานานถึง 9 เดือน
เป็นช่วงเวลาที่ทารกจะปลอดภัยที่สุด สบายที่สุด
ได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี

เต็มเปี่ยมไปด้วยคลื่นของความรัก
จนเมื่อครบกำหนดเวลา
เราจึงได้ออกมาสัมผัสความรักของโลก...

ถ้านับถอยหลังไป 9 เดือน
ฉันอนุมานเอาเองว่า ฉันถือกำเนิดมาในวันแห่งความรัก
14 พฤศจิกายน ถอยไป 9 เดือน ก็เป็น 14 กุมภาพันธ์
นั่นเป็นวันที่ฉันเกิด...

อันที่จริงวันเวลานาทีที่เราเกิด คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบุคลิภาพของคนมากนัก
แต่ฉันเชื่อว่าอนุภาพของความรักส่งผลต่อเราทุกคน
ฉันเกิดจากความรัก ในวันที่คนรักกันแสดงออกถึงความรักที่เขามีให้กันและกัน
วันที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นของความรักลอยอยู่ในอากาศ
เพราะงั้น ในระหว่างที่ฉันหลับสบายอยู่ในครรภ์
เซลล์แห่งความรักจึงกระจายตัวแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของร่ายกายฉัน
และทำให้ฉันเกิดมาพร้อมกับความรักล้นปรี่

ไม่ใช่ว่าฉันกำลังมีความรักจึงเขียนข้อความเหล่านี้ได้
ความรักก่อเกิด มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป เป็นวัฏจักร วนเป็นวงกลม
แต่ไม่มีวันหมด...
ด้วยความที่มีความรักพบติดมาด้วยตั้งแต่เกิด
ทำให้ฉันรู้สึกอยากจะถ่ายโอนความรักให้ใครๆบ้าง
ทั้งคน สัตว์ และสิ่งของ
จนทำให้บางครั้งฉันแปลกใจ ที่มีคนบอกว่า "รักใครไม่เป็น"
บอกตรงๆ ว่าฉันไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
มันง่ายนิดเดียว แคุ่คุณให้ความรักออกไป เท่าั้นั้นเอง
แต่ก็อย่างที่บอก ฉันเกิดในวันแ่ห่งความรัก วันแห่งการให้
มันเลยเป็นการง่ายกับตัวฉันเอง ในการให้ความรัก

โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม
แม้สิ่งไม่สวยงาม เรายังสามารถเห็นความงามของมันได้
ยามน้ำหลากมาท่วมประเทศ
เรายังเห็นน้ำใจคนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ
หรือแม้แต่การเกิดแผ่นดินไหว
เรายังได้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งโลก
มันมีความสวยงามอันเกิดจากความรัก ความเอื้ออาทร
ที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านั้น
ไม่มีใครไร้ซึ่งความรักโดยแท้จริง
แม้แต่ศพไร้ญาติ วันหนึ่งเขาเหล่านั้นก็ได้กลับไปสู่ธรรมชาติ
ความรักจากธรรมชาติ จากพื้อแผ่นดิน
โอบกอดเขาไว้ในยามที่เขาหลับนิรันดร์
คนเราเกิดมาพร้อมกับความรัก
และความรักมาส่งเราเมื่อยามเราจากไป
แต่ความรักจะไม่ไปกับเรา มันจะยังคงอยู่
ดำรงอยู่ต่อไปเพื่อสร้างวัฏจักรให้โลกหมุนเวียนเปลี่ยนฤดูกาล
เพราะมันรู้ว่า ในยามที่เราเกิดมาอีกครั้ง
เราก็จะมีความรักครั้งใหม่เกิดพร้อมกับเราเช่นกัน
.......
ขอให้ความรัก(ที่มีอยู่ในตัวคุณทุกคน)จงดำรงอยู่เช่นนั้นตลอดไป

กาต่าย
14 พฤศจิกายน 2553

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ในห้องมืด

สิ่งที่อันตรายที่สุดบนโลกใบนี้
ไม่ใช่การฆาตกรรม สังหารหมู่
หรือแม้แต่ปล้นฆ่า ข่มขืน
อย่างที่เราพบเห็นกันตามหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน
แ่ต่สิ่งที่อันตรายซะยิ่งกว่าการกระทำภายนอกใดๆ
นั่นก็คือ จิตใจ

จิตใจ จิตใต้สำนึก ความรู้สึกนึกคิด
มันสามารถทำร้ายเราได้เสมอ
ถึงแม้เราจะระวังตัวมากเท่าไหร่
คุณไปไหนมาไหน คุณดูแลตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
ไม่มีใครจะสามารถทำอะไรคุณได้
แต่จนแล้วจนรอด จิตของคุณกลับเป็นตัวอันตราย
คอยเอามีดมาทิ่มแทงตัวมันเอง
เสมอ.....

ฉันช่างโชคดีเหลือเกิน
ที่ได้มาพบเจอสิ่งที่เป็นเหมือนแสงสว่าง
ให้ฉันหยุดเอามีดนั้นมาแทงที่ใจของตัวเอง
ทุกครั้งที่เกิดปัญหา
ใจคุณจะเจ็บปวด
เมื่อมันเจ็บ มันจะไม่ยอมรับสิ่งใดๆเลย
โลกทั้งโลกของคุณจะค่อยมืืดลง
มืดจนคุณหาทางออกไม่เจอ
ความจริงแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีทางของมันอยู่แล้ว
ปัญหาและทางออกมันอยู่ตรงนั้น
ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
แต่ฉันกลับมองมันไม่เห็น
ทุกอย่างช่างดูมืดมน
เราสู้กับความืดไม่ได้หรอก
เราสู้กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนไม่ได้
ความมืดอาจจะดูยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม
คุณอาจจะทำได้แค่เพียง นั่งขดตัวอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่ง
แล้วมันจะดีขึ้นที่ตรงไหน
มันก็จะมีแต่มืดลงๆ ไปเรื่อยๆ

ตรงนั้น ที่ที่คุณนั่ง มันมีเทียนวา่งรอไว้อยู่แร้ว
เพียงแค่คุณยอมรับความมืด
ตาคุณแค่ยอมรับมัน
ค่อยๆให้ตาคุณคุ้นชินกับความมืดนั้น
ค่อยๆทำความเข้าใจมัน
คุณไม่ต้องปฏิเสธมันหรอก ยิ่งคุณไม่ยอมรับมัน มันจะยิ่งมืด
แต่เมื่อใดที่คุณค่อยๆมอง มองอย่างตั้งใจ
คุณก็เห็นว่า มีเทียนวางเตรียมไว้ให้คุณแล้ว
รอก็แต่ว่า คุณจะจุดมันเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

จงอย่าหลงระเริงไปกับความมืด
มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดหรอก
คุณไม่ต้องรับมันมาทั้งหมด
โลกไม่ได้มืด แค่มันยังสว่างไม่พอเท่านั้นเอง
ปัญหาไม่ได้แย่จนทำให้คุณต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนั้น
แค่คุณยังมองมันไม่ชัดเท่านั้นเอง
เมื่อคุณมองมันชัดขึ้น
คุณจะรู้ว่าคุณต้องทำอะไรต่อไป

ตอนนี้ คุณเห็นแล้วว่ามีเทียนวางอยู่ตรงนั้น
ก็แค่จุดมัน
คุณพร้อมรึยัง
ที่จะไล่ความมืดในใจคุณ
ให้มันสูญสลายไป ด้วยเทียนของคุณเอง...

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ต้องมนต์ มูราคามิ

เมื่อวานได้หนังสือดีๆมาเล่มนึงค่ะ
"Norwegian Wood" หรือในชื่อภาษาไทย "ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย"
ของนักเขียนคนดัง Haruki Murakami
อันที่จริง เคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วค่ะ
แต่ที่ทำให้กลับมาสนใจใหม่และสนใจมากขึ้น
ก็เพราะนิยายเรื่องนี้ได้รับการนำมาทำเป็นภาพยนตร์
รวมทั้งเนื้อหาที่น่าสนใจค่ะ
อาจจะเพราะด้วยเนื้อหาบางส่วนในเรื่อง มีส่วนคล้ายคลึงกับสถานการณ์ในชีวิตจริง
ทำให้รู้สึกอยากอ่านขึ้นมามากมาย
ใช้เวลาในการอ่านรวม 12 ชม. อ่านยาวรวดเดียวจบค่ะ
ส่วนเนื้อหาของเรื่องเป็นอย่างไรนั้น
อีกไม่นานเมื่อมีการโปรโมทหนัง ก็น่าจะได้รับทราบกัน
ในเนื้อเรื่องมีหลายๆประโยคที่น่าประทับใจหลายประโยค
อ่านไปแล้วก็ทำให้รู้สึกสะอึกได้เหมือนกัน

Haruki Murakami คงเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน
สไตล์การเขียนของเขาไม่เหมือนกับคนญี่ปุ่นจริงๆค่ะ
มีกลิ่นไอของตะวันตกอยู่สูงเหมือนกัน
ที่บอกว่า "ต้องมนต์" หมายความอย่างนั้นจริงๆค่ะ
เมื่อเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรก ก็ไม่สามารถวางหนังสือเล่มนี้ลงได้เลย
สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ ค่อยๆขมวดปมของอะไรบางอย่างเข้ามาในสมอง
เสียน้ำตาไปหลายรอบ
หลังอ่านจบ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ
วันนี้ทั้งวัน ทำงานไม่่รู้่เรื่องเลยค่ะ
มนต์ของมูราคามิทำพิษเอาซะแล้ว
วันนี้รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสังอย่างอยู่ในหัว ไม่สามารถสลัดออกไปได้
เป็นความทรมานไ่ม่เคยพบเจอจริงๆค่ะ

บนความดีใจที่เราได้เรียนรู้ความรู้สึกของคนที่ว่างเปล่า
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เหมือนถูกดึงให้เข้าสู่ความเว้าแหว่งนั้น
ไม่อาจจะพูดได้เต็มปากว่า เป็นหนังสือต้องคำสาป
แต่ถ้าเราปล่อยใจให้ไหลไปกับความรู้สึกของตัวละครมากเกินไป
คงกู่ไม่กลับแน่นอน...

หัวใจสลาย คำพูดเรียบง่าย แต่เจ็บปวดเจียนตาย

"ครองชีวิตให้มีสุข" เรโกะหันมาบอกในตอนก้าวขึ้นรถไฟ "นั่นเป็นคำแนะนำข้อเดียว
ที่ฉันจะมอบให้คุณได้ ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว...ครองชีวิตให้มีสุข"
.....

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อาการซึมเศร้า แก้ไขได้

 

อาการซึมเศร้า...รักษาได้


ไม่ใช่ปัญหานั่งเครียดอีกต่อไป

      ปัญหาโรคซึมเศร้า เป็นปัญหาที่ตัวผู้ป่วยเองไม่ได้ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ด้วยเหตุปัจจัยบางประการ หรือหลายประการที่มีความสำคัญต่อตัวผู้ป่วย อาจเป็นบ่อเกิดของปัญหาอาการซึมเศร้าได้

  การ วินิจฉัยอาการซึมเศร้าของแพทย์ เริ่มต้นจากการพูดคุย การซักถามประวัติถึงอาการทางจิตเวชอื่นที่เคยเกิดขึ้น โรคทางร่างกายหลายโรค และยาบางชนิด อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคซึมเศร้าได้ การวินิจฉัยจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่สำคัญแพทย์ที่ทำการตรวจต้องอาศัยทักษะในการวินิจฉัยอยู่พอสมควร ส่วนขั้นตอนในการวินิจฉัยโดยทั่วไป เริ่มต้นจาก...

      การ ถามอาการหรือการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่เริ่มมีอาการครั้งแรกไล่มาตามลำดับจนปัจจุบัน ยิ่งผู้ป่วยเล่าอาการต่าง ๆ ที่มีได้อย่างละเอียด เล่าปัญหาที่เกิดขึ้นได้มากเท่าไร แพทย์ก็จะยิ่งเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้นเท่านั้น การซักถามในขั้นตอนนี้นอกจากเพื่อดูว่าผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้หรือไม่ แล้ว ยังเพื่อพิจารณาว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับอาการเหล่านี้หรือไม่ ในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีโรคทางร่างกายอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการต่าง ๆ ที่พบแพทย์อาจซักประวัติเพิ่มเติมจากญาติหรือผู้ใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ทราบเรื่องราวหรืออาการต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น เพราะคนรอบข้างอาจสังเกตเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าตัวผู้ที่มีอาการเอง

      ด้าน การรักษา หากได้รับการรักษาผู้ที่เป็นจะอาการดีขึ้นมาก อาการซึมเศร้า ร้องไห้บ่อย ๆหรือรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ จะกลับมาดีขึ้นจนผู้ที่เป็นบางคนบอกว่าไม่เข้าใจว่าตอนนั้นทำไมจึงรู้สึก เศร้าไปได้ถึงขนาดนั้น ยิ่งหากมารับการรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งจะอาการดีขึ้นเร็วเท่านั้น การรักษาที่สำคัญ คือการรักษาด้วยยาแก้เศร้า โดยเฉพาะในรายที่มีอาการมาก ส่วนในรายที่มีอาการไม่มาก แพทย์อาจรักษาด้วยการช่วยเหลือชี้แนะการมองปัญหาต่าง ๆในมุมมองใหม่ แนวทางในการปรับตัวหรือการหาสิ่งที่ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายความทุกข์ใจลง ร่วมกับการให้ยาแก้เศร้าหรือยาคลายกังวลเสริมในช่วงที่เห็นว่าจำเป็น

      วิธีการรักษา ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักคือ 1. การรักษาด้วยยาการใช้ยาแก้เศร้า เพื่อไปปรับสมดุลสารเคมีในสมองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ยาแก้เศร้าช่วยบรรเทาอาการเศร้าเมื่อทานยาจนรู้สึกดีขึ้นแล้ว ควรทานยาต่อไปอีก 6-12 เดือน เพื่อป้องกันอาการกลับมาเป็นซ้ำ และแม้จะรู้สึกสบายดีก็ยังต้องกินยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามักจะกลับมาป่วยซ้ำหรืออาจมี อาการกำเริบซ้ำได้

      2. การรักษาทางจิตใจมีวิธีรักษาทางจิตใจอยู่หลายรูปแบบ ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจเป็นการพูดคุยกับจิตแพทย์ อันจะช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจตนเอง สาเหตุที่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์ ซึมเศร้า เข้าใจปัญหาและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมในที่สุด

      วิธี การที่พบว่าสามารถรักษาโรคซึมเศร้าได้ดี มีดังนี้ การรักษาแบบปรับความคิดและพฤติกรรม เชื่อว่าอาการของผู้ป่วยมีสาเหตุจากการมีแนวคิดที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะบ่อยครั้งที่ทุกข์เพราะความคิดของตัวเองเช่น มองตนเองในแง่ลบ มองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบ การรักษาจึงมุ่งแก้ไขแนวคิดของผู้ป่วยให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น การรักษาแบบปรับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลการรักษามุ่งให้ผู้ป่วยมีการปรับ ตัวต่อสิ่งแวดล้อมและผู้อื่นให้ดีขึ้น การรักษาจิตบำบัดเชิงลึกเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจปมขัดแย้งที่อยู่ในจิตใจ ตนเองจนนำมาสู่โรคซึมเศร้า

ข้อแนะนำที่ช่วยในการส่งเสริมการรักษาอาการซึมเศร้า มีดังต่อไปนี้

      1. การออกกำลังกายการออกกำลังกายนอกจากจะช่วยทางร่างกายแล้ว จิตใจก็ยังจะดีขึ้นด้วย ถ้าได้ออกกำลังกายร่วมกับผู้อื่นด้วยก็จะยิ่งช่วยเพิ่มการเข้าสังคม ไม่ทำให้รู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว

      2. อย่าคาดหวังหรือตั้งเป้าหมายยากเกินไป ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เรายังต้องการการพักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ การกระตุ้นตนเองมากไปกลับยิ่งจะทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ที่ทำไม่ได้อย่างที่ หวัง

      3.เลือกกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกดี ๆมักจะเป็นสิ่งที่เราเคยชอบ

      4. พยายามทำกิจกรรมที่ทำร่วมกับคนอื่นมากกว่าที่จะอยู่คนเดียว หลักการเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่งก็คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป แต่จะขึ้น ๆ ลง ๆ ในแต่ละช่วง คนที่มีความโศกเศร้ามักจะรู้สึกหมดหวัง คิดว่าความรู้สึกนี้จะคงอยู่กับตนเองตลอดเวลา ในความเป็นจริงแล้วจะมีอยู่บางช่วงที่อารมณ์เศร้านี้เบาบางลง ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ให้เราเริ่มกิจกรรมที่สร้างสรรค์เพื่อให้มีความรู้สึกที่ ดีขึ้น

      5. อย่าตัดสินเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตเช่น การหย่า การลาออกจากงาน ณ ขณะที่เรากำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้านี้ การมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบอาจทำให้การตัดสินใจผิดพลาดไปได้ ควรเลื่อนการตัดสินใจไปก่อน หากจำเป็นหรือเห็นว่าปัญหานั้น ๆ เป็นสิ่งที่กดดันเราทำให้อะไร ๆ แย่ลงจริง ๆ ก็ควรปรึกษาผู้ใกล้ชิดหลาย ๆ คนให้ช่วยคิด

      6. การแก้ปัญหาให้แยกแยะปัญหาให้เป็นส่วนย่อย ๆการมองปัญหาโดยไม่แยกแยะจะทำให้เกิดความรู้สึกท้อแท้ ไม่รู้จะทำอย่างไร การจัดเรียงลำดับความสำคัญของปัญหาว่า เรื่องไหนควรทำก่อนหลัง แล้วลงมือทำไปตามลำดับโดยทิ้งปัญหาย่อยอื่น ๆ ไว้ก่อน วิธีนี้จะพอช่วยให้รู้สึกว่าตนเองยังทำอะไรได้อยู่

ข้อแนะนำในการดูแลสำหรับญาติ มีดังนี้

      1. รับฟังด้วยความเข้าใจ ใส่ใจอารมณ์ของผู้ป่วยที่มีความอ่อนไหวมาก และหลายครั้งเข้าใจยาก การรับฟังอย่างเข้าใจ โดยไม่ตัดสินจะช่วยให้ความรู้สึกของผู้ป่วยดีขึ้นที่มีคนพร้อมจะเข้าใจตัว เขาอย่างแท้จริง

      2. ชวนคุยบ้างด้วยท่าทีที่สบาย ๆพร้อมที่จะช่วยเหลือ โดยไม่กดดัน ไม่คาดหวัง ไม่คะยั้นคะยอว่าต้องพูดคุยโต้ตอบได้มาก เพราะท่าทีที่คาดหวังมากจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่ที่ทำให้ญาติผิดหวัง

      3. เปิดโอกาสให้ได้ระบายความคิดความรู้สึกที่ไม่ดี ที่รู้สึกแย่ต่าง ๆ ออกมา โดยเฉพาะความคิดอยากฆ่าตัวตาย การที่ผู้ป่วยได้พูดได้ระบายออกมาจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในใจลงได้ อย่างมาก

      โรค นี้ไม่ได้อาการดีขึ้นทันทีที่กินยา การรักษาต้องใช้เวลาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นสัปดาห์ อาการจึงจะดีขึ้นอย่างเห็นชัด จึงไม่ควรคาดหวังจากผู้ป่วยมากเกินไป การรักษาด้วยยามีความสำคัญ ควรช่วยดูแลเรื่องการกินยา โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ผู้ป่วยยังซึมเศร้ามาก หรืออาจมีความคิดอยากตาย การตัดสินใจในช่วงนี้จะยังไม่ดี ควรให้ผู้ป่วยเลี่ยงการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ ไปก่อนจนกว่าจะเห็นว่าอาการเขาดีขึ้นมากแล้ว

      เมื่อ ได้รู้จักโรคซึมเศร้ากันแล้ว จะเห็นว่าโรคซึมเศร้าไม่ได้เป็นแค่อารมณ์ซึมเศร้าเท่านั้น แต่หากเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและครอบครัว และหากปล่อยทิ้งไว้ไม่บำบัดรักษา อาจนำมาสู่ปัญหาการทำงานและการดำเนินชีวิต และบางรายอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ ดังนั้นหากพบหรือสงสัยว่าตนเองและคนใกล้ชิดของคุณป่วยด้วยโรคซึมเศร้า อย่าได้นิ่งนอนใจ ควรพามาปรึกษาแพทย์ เพราะหากได้รับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้อง ด้วยวิธีที่เหมาะสม คุณและคนใกล้ตัวก็สามารถจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขต่อไป.







ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Update 22-03-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : วีระ วานิชเจริญธรรม
credit:  http://www.thaihealth.or.th/node/14699


วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มารายงานตัวค่ะ

สวัสดีค่ะ

ดีใจจังเลย ที่แม้ไม่ได้เขียนอะไรเพิ่มเติม ยังมีคนน่ารักๆเข้ามาเยีียมเยียน
shoutbox ถูกเอาออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
เอากลับมาไม่เป็นซะด้วย เสียใจจริงๆ
พอรู้ว่ามีคนมาเยี่ยมบ้าง ก็เลยอารมณ์ดี ทำอะไรดีๆซะหน่อยดีกว่า
เผื่อใครแวะเข้ามาอีก จะได้มีอะไรให้อ่านบ้าง
เลยมาเขียนรายงานตัวแระกัน

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ว่างเลย
เตรียมตัวสอบค่ะ ตั้งใจมากๆ
ช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น
แต่ตอนนี้ก็สามารถผ่านมันมาได้
ถือว่า เป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งพอสมควร
ก็หวังว่า สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อคนรอบข้าง
ให้เขามีจิตใจที่เข้มแข็งมากขึ้น
ให้เขาได้ผ่านพ้น ช่วงเวลาแย่ๆของชีวิต
มาพบวันใหม่ที่ดี

เวลาที่คนเราเจอเรื่องแย่ๆมามาก
พอเจอสิ่งที่ดี แม้เพียงเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นสิ่งสุดล้ำค่า
เหมือนเวลาเราหิวมากๆ
ขนมปังแม้เพียงก้อนเล็ก ก็สามารถทำให้เรายิ้มได้ไม่มีหุบ
พยายามเป็นสิ่งที่ดีค่ะ
ทำสิ่งดีๆให้คนที่คุุณรัก ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลย
แม้คุณไม่หวังผลตอบแทนจากสิ่งที่ทำไป
แต่ความพอใจ อิ่มใจที่เขาได้จากคุณ
แค่นั้นก็ทำให้คุณเป็นสุขได้แล้ว

สิ่งที่จำเป็นสำหรับความสัมพันธ์ที่เปราะบาง
นั่นก็คือ ความไว้ใจซึ่งกันและกัน เชื่อใจกัน
เท่านั้น คนสองคนก็ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ค่ะ

ถ้ามีเวลาจะเข้ามารายงานตัวอีกนะคะ

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความเข้าใจที่ไม่ลงตัว

วันนี้อยากจะขอพูดเรื่องของความเข้าใจ
บนโลกนี้มีความเข้าใจแค่สองด้าน คือ
เข้าใจ ไม่เข้าใจ
เข้าใจถูก เข้าใจผิด...

คนเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไร
มันจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของอะไรสักอย่าง
ถ้าคุณมี basic background ของเรื่องๆนั้น
คุณจะเข้าใจมันได้ทะลุปรุโปร่ง
ในขณะที่เรื่องที่คุณไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อน
คุณก็จะงงเป็นไก่ตาแตก ว่านี่คุณกำลังฟังภาษามนุษย์ต่างดาวรึเปล่า

และพื้นฐานนั้นแหละ ที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกและผิด
พื้นฐานนนั้น ก็คือ อคติ ทิฐิ ความลำเอียง
หรืออะไรก็ตามที่คุณจะให้คำจำกัดความของมัน
เมื่อเรามีอคติกับอะไรสักอย่าง ความเข้าใจของเราจะผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปหมด
เรามองเห็นวัตถุได้จากการที่แสงตกกระทบแล้วสะท้อนเข้าตาเรา
แต่เราจะเข้าใจสิ่งต่างๆได้เมื่อประสาทสัมผัั้สกระทบสิ่งเหล่านั้นมายังใจเรา
อคติทำให้ภาพต่างๆที่สะท้อนความจริงมาสู่ใจเปลี่ยนไป ตามที่ใจคิด
ที่ฉันรู้ เพราะฉันก็เคยเป็น

อคติทำให้เรามองสิ่งรอบตัวแย่ไปหมด
อคติทำให้เราสร้างศัตรูได้มากกว่าผูกมิตร
ฉันเคยมองคนๆนึงด้วยอคติที่มีในใจ
ในตอนนั้น ในความรู้สึกฉัน ฉันไม่ได้มองเขาในแง่ดีเลยสักนิด
ทุกวันนี้เลยรู้สึกเสียใจมากๆ เพราะได้กระทำสิ่งที่แย่ๆลงไป
ตอนนี้คงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้
ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกของคนเราจะซ่อมแซมได้ไหม
ถ้าได้ ฉันก็อยากจะขอเริ่มต้นใหม่

ฉันอยากจะทำความเข้าใจคนๆนั้น ในแบบที่เป็นเค้า 
ไม่ใช่ในแบบที่ฉันจินตนาการให้เค้าเป็น
ฉันเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดี ไม่มีคำว่าสาย
และหวังว่าเขาคงเข้าใจฉันในสักวัน

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

หาอะไรคุยกันดีกว่า

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองหาเรื่องอะไรมาคุยมั่งดีกว่า
เผื่อใครเข้ามาจะได้ไม่เซ็ง (ก็มีแค่ไม่กี่คนด้วยอ่ะแหระ)

วันนี้ฉันได้ของฝากจากเชียงใหม่
เป็นผ้าพันคอสีม่วง (ถูกใจสุดๆ)
แต่จะบอกว่าชอบเพราะมันมีสีม่วงก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
ความจริง ฉันชอบและประทับใจในความรู้สึกของคนให้มากกว่า
ฉันรู้สึกว่า การที่เราซื้อของฝากใครสักคน
แสดงว่าเค้าคิดถึงเรา และอยากให้เราได้รับรู้ถึงสถานที่ที่เค้าไป
ต่อให้ไม่มีอะไรจะให้ แค่ความรู้สึกว่า อยากจะให้อะไรสักอย่างก็เป็นสุขแล้ว
ฉันเป็นคนที่บรรยายความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง
แต่ถ้าใครได้อ่านก็คงเข้าใจนะ ว่าความรู้สึกของคนที่ได้รับของจากคนที่เรารักมันเป็นยังไง
วันนี้ฝนตกหนักมาก รถก็ติด แอร์ก็ยังจะเปิด ฮ่าๆ
หนาวมาก ดีนะที่มีผ้าพันคอสุดที่รักช่วยชีวิตเอาไว้
พันแล้วอุ่นเลย ^^
ขับรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี แม้รถจะติดหนักมาก

วันนี้แค่นี้ก่อนแระกัน ไว้เดี๋ยวจะหาอะไรมาคุยอีกนะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

แล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน

และแล้ว หลังจากที่อดหลับอดนอนมาหลายวัน
การสอบภาษาอังกฤษก็เสร็จสิ้นซะที
ทำให้รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้เราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
การจะต้องอดนอนสองสามวันติดกันนี่
ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ สบายมาก
แต่มาวันนี้ รู้สึกว่ามันช่างทรมานจริงๆ

ข้อคิดที่ได้จากการสอบครั้งนี้ ก็คือ
เร่งๆอ่านหนังสือตอนใกล้ๆสอบ สิวขึ้นตรึม
และเป็นบทเรียนที่ดี
ทำให้รู้ว่า ต่อไปนี้ ต้องเตรียมตัว
สำหรับการสอบของจริงซะที

เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ ไม่เคยคอยใคร
ไหลมา ไหลไป
แล้วก็ไหลผ่านไปอีกหนึ่งวัน

วันนี้ได้พูดคุยกับนักเขียนชื่อดัง
เขาให้ข้อคิดเกี่ยวกับการเขียนอะไรสักอย่าง
ว่าเวลาที่เราอยากเขียนอะไร ก็อย่าไปโฟกัสแค่เรื่องเดียว
สภาพแวดล้อมรอบๆข้าง ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน
ถือว่าเป็นประโยชน์มากๆ สำหรับนักเขียนมือใหม่
และเป็นเรื่องดี ที่เราได้มีหัวข้อสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกัน

.....................

อาหารเย็นมื้อนี้อร่อย
อะไรนะที่ทำให้อาหารอร่อย
เครื่องปรุง ส่วนประกอบ ก็ไม่น่าใช่
และแน่นอน ฉันไม่ได้กำลังหิวโซ

ที่อาหารเย็นมื้อนี้อร่อย
ก็เพราะมีเธอนั่งเคียงข้าง....

...................

วันนี้เขียนอะไรไม่ค่อยดีเลย ไม่ไหลลื่น
คงต้องไปนอนให้สมองได้พักผ่อนหน่อยแล้วล่ะ

ราตรีสวัสดิ์

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องกล้วยๆ...

 เป็นบทความที่มีประโยชน์มากจริงๆค่ะ อยากให้สละเวลาอ่านซักหน่อย

กล้วยหอมยอดผลไม้มหัศจรรย์

รู้ หรือไม่ว่า ในกล้วยหอมมีน้ำตาลอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ ซุคโคส ฟรุคโตส และกลูโคส รวมทั้งเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ นั่นหมายความว่า ไม่เพียงแต่กล้วยหอมจะให้พลังงานอย่างเดียว แต่มันสามารถทำให้ร่างกายนำพลังงานเหล่านั้นไปใช้ได้ทันทีอีกด้วย โดยมีงานวิจัยยืนยันออกมาแล้วว่า “กล้วยหอม 2 ใบ ให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานได้ถึง 90 นาที” ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนักกีฬาระดับโลกถึงต้องกินกล้วยหอมกันด้วย....
           ยังไม่หมดเท่านี้นะคะ!!!... กล้วยหอม ยังช่วยรักษาโรคต่างๆ ให้กับร่างกายเราอีกด้วย ไปดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง...

           รักษาอาการเศร้าซึม จากการสำรวจและวิจัยกลุ่มตัวอย่างคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่า ส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะในกล้วยหอมจะมี tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น          
          
            PMS (Premenstrual Syndrome) หรือ อาการก่อนมีประจำเดือน อย่างที่ทราบกันดีว่า สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์ของเธอจะค่อนข้างแปรปรวน หงุดหงิดง่าย ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ปวดหัว ตามมา ฉะนั้นหากรู้ว่าคนใกล้ตัวเริ่มอารมณ์ไม่ปกติ รีบหากล้วยหอมให้เธอกินโดยด่วน  
            
                ช่วยเรื่องโรคโลหิตจาง แน่นอนว่าธาตุเหล็กกับโรคโลหิตจางเป็นของคู่กัน... โชคดีที่เราสามารถหาธาตุเหล็กได้จากผลไม้สีเหลืองใกล้ตัว ที่เรียกว่ากล้วยหอม เพราะธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิต ช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ 
            
                 ลดความดันโลหิต หน่วยงานด้านอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติให้กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มี ส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงเรื่องความดันได้จริง เพราะในกล้วยหอมจะมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่มาก ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเรื่องความดันเลือด

           
              เสริมสร้างพลังสมอง ที่ประเทศอังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham schoolอ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น นอกจากนี้ยังได้มีการวิจัยพบว่า โพแทสเซียมในกล้วยหอมช่วยให้นักเรียนตื่นตัวอยู่เสมอ 
           
               ลดอาการท้องผูก จุกเสียดแน่นท้อง และแผลในกระเพาะอาหาร เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยของลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ส่งผลให้ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ช่วยลดอาการท้องผูก และสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีอยู่ในกล้วยหอมยังช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่ก็ยังทำหน้าที่เคลือบผิวของกระเพาะอาหาร ทำให้เราไม่ต้องเสี่ยงกับโรคแผลในกระเพาะอาหารอีกต่อไป

            
                   แก้อาการเมาค้าง คิดว่าข้อนี้คงถูกใจบรรดาสาวกปาร์ตี้ทั้งหลาย แค่นำกล้วยหอมมาปั่นผสมกับน้ำผึ้ง เท่านี้ก็จะหายจากอาการเมาค้างเป็นปลิดทิ้ง เพราะด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้ง และสารวิตามินในกล้วยจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น......ทีนี้ใครจะ ปาร์ตี้ดึกแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวแฮงค์แล้ว

            
                    ป้องกันโรคอ้วนที่เกิดจากการทำงานมากเกินไป ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเราเปลี่ยนมากินกล้วยหอมทุกๆ 2 ชั่วโมงแทน ร่างกายจะสามารถปรับระดับน้ำตาลในเลือด และลดอาการอยากกินของจุบจิบ 
            
                      ลดความอยากสูบบุหรี่ สำหรับคนที่อยากเลิกสูบบุหรี่ กล้วยหอมช่วยคุณได้ เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากในกล้วยหอม จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน


credit : http://www.puadmens.com/puadmens/health-tips?articleId=16


.................................................

เพิ่มเติมนะคะ  กล้วยหอม มีสารทริพโตเฟนค่อนข้างสูง จึงถือเป็นอาหารอีกชนิดที่ช่วยให้หลับสบาย เพียงเลือกรับประทานกล้วยหอม 1 ลูก ช่วงหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนนอน จะได้ผลอย่างดีเลย

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

การที่จะรักใครสักคน...

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่จำเป็นต้องไปหาเหตุผลว่า
ทำไมจึงไปรักได้...แต่ให้รุ้ไว้ว่า
ทุกวันนี้รัก...และต้องรัก...
ให้ดีที่สุดก็พอ

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่า..
เขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง
แต่ให้มานั่งถามตัวเองดูว่า...
วันนี้ทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก...
หรือยัง...

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่ต้องมัวไประแวงว่า...เขาจะมีใครอื่น
นอกเหนือจากเรา...
แต่ควรระวังใจของตัวเอง
ให้เข้มแข็งพอที่จะไม่รับใคร
เข้ามาในใจอีก...

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่จำเป็นต้องบอกรัก...กันทุกวัน...
เพราะการที่คอยห่วงใยกันอยู่เสมอ...
สามารถทดแทนคำว่ารัก..
ได้ดี...

การที่จะรักใครสักคน...
เมื่อทะเลาะกัน...คำว่าแพ้หรือชนะ
ก็ไม่สำคัญ...
จึงยอมให้เป็นฝ่ายชนะเสมอ...
ถ้าทำให้เขาสบายใจ...

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่จำเป็นต้องตัวติดกัน...
ตลอดเวลา...
แค่มีเขาอยู่ในใจตลอดเวลา...
.....ก็พอ.....

การที่จะรักใครสักคน...
ไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเขา...
แต่ควรพยายามปรับตัวเอง
ให้เข้ากับเขาจะดีกว่า....


ความรักสอนให้ได้เรียนรู้...ในหลายๆสิ่ง...
ความรักทำให้เป็นมนุษย์...ที่สมบูรณ์แบบ...
ความรักเป็นบทเรียนดีๆ...ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้...
ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง...........

.......................................

นี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้....
จากการที่ได้รัก....ใครสักคน.....

......................................................

ได้มาจาก forward mail เค้าไม่ได้ให้เครดิตมา เลยไม่รู้จะลงชื่อใคร

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ไอ้เหม็นของฉัน

มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น ไม่สามารถทราบได้ แต่นับตั้งแต่จำความไ้ด้ก็รู้สึกว่าขาดมันไม่ได้เลย
ถ้าถามว่า อะไรคือของรักที่สุด แทบไม่ต้องใช้เสี้ยววินาทีในการคิดเลย
ใช่แล้ว มันก็คือ "ไอ้เหม็น"

ฉันไม่รู้ว่าฉันติดมันตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็เหมือนลีโอนาโด ดิคาปิโอไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในฝันตั้งแต่ตอนไหนในหนัง Inception
แต่ที่แน่ๆ ฉันขาดมันไม่ได้เลยจริงๆ

ตอนเรียนอนุบาล จำได้เลยว่าแอบเอาไอ้เหม็นใส่กระเป๋าหนังสือไปโรงเรียนด้วย
เด็กอนุบาลต้องนอนกลางวัน..
ตอนนอนกลางวัน ฉันก็จะเอาไอ้เหม็นมาบี้ๆๆ...แล้วก็ครอกฟี้ไปเลย
พอเริ่มโตมาสักนิด ไอ้เหม็นกลับกลายเป็นหมือนปมด้อยของฉัน
เวลาเอาไปไหนด้วย ก็ชอบมีคนแซว ก็พวกผู้ใหญ่นั่นแหละ
แซวแล้วก็หัวเราะ ชอบใจกันเอง แต่ไม่ใช่กับฉันเลยสักนิด
ฉันแค่เอาไอ้เหม็นมาบี้ๆๆเวลาออกไปกินข้าวข้างนอก
ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เอาไปคลุมหัวใครซักหน่อย
ไม่เห็นจะต้องพูดให้มันดูเหมือนเป็นของน่ารังเกียจเลย
พอโตมากขึ้นถึงวัยทำงาน
ทีนี้ "ไอ้เหม็น" ไม่เคยห่างตัวฉันเลย
ข้อดีของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือ เราทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ
ฉันสามารถพกไอ้เหม็นไปเที่ยวต่างจังหวัด ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว
แม้กระทั่งตอนขับรถ ฉันพามันไปได้ทุกที่เลย

ไอ้เหม็น มีมาหลาย generation แล้ว
ที่มาของมัน แม่ฉันบอกว่า น่าจะมาจากเมื่อก่อนแม่ฉันชอบใส่ชุดนอนผ้าลื่นๆ
เวลาฉันนอนข้างๆแม่ ก็ชอบไปจับชายกระโปรงลื่นๆ จับๆๆลื่นๆๆๆแล้วก็หลับสบาย
ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นก็ได้นะ
ไ้อ้เหม็นรุ่นแรก ก็นั่นแหละ ชุดนอนแม่
จับๆๆบี้ๆๆ ยึดเลย ไม่ให้แม่เอาไปซักด้วยนะ แหกปากร้องแน่นอน
และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ "ไอ้เหม็น"
คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ เพราะก็สมชื่ออ่ะนะ
ไอ้เหม็นรุ่นชุดนอนแม่อยู่กับฉันนานมาก
จำไม่ได้ว่าแม่เอาไปทิ้งเมื่อไหร่ แต่ที่รู้ก็คือ ร้องไห้...นานมากกกกกก

มีช่วงหนึ่งที่ฉันไม่มีไอ้เหม็นคู่กาย
ฉันกลายเป็นเด็กปกติ แต่ฉันจำช่วงชีวิตตอนนั้นไม่ได้เลย
ฉันจำไม่ได้ว่าตอนไม่มีไอ้เหม็นฉันทำอะไร
ความทรงจำฉัน จำได้แต่ตอนที่ฉันยังมีไอ้เหม็นอยู่

การแสวงหาไอ้เหม็นที่ดี ที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่เรื่องง่าย
ก็อย่างที่ฉันบอก ไอ้เหม็นของฉันมีหลาย generation ถ้านับแล้วก็น่าจะถึงสิบ
ไอ้เหม็นรุ่นปัจจุบันนี้ ฉันเลยตั้งใจว่าจะดูแลมันอย่างดี
ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ
...........................................................................................................
ฉันพูดถึงมันทำไมหน่ะหรอ
ความรักของฉัน เปรียบเหมือนไอ้เหม็น.....
.
.
.
มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น ไม่สามารถทราบได้ แต่นับตั้งแต่จำความรู้สึกนี้ไ้ด้ก็ขาดมันไม่ได้เลย
ถ้าถามว่า อะไรคือของรักที่สุด แทบไม่ต้องใช้เสี้ยววินาทีในการคิดเลย
ใช่แล้ว สิ่งนั้นก็คือ "คนที่ฉันรัก"

ฉันไม่รู้ว่าฉันติดเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็เหมือนลีโอนาโด ดิคาปิโอไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในฝันตั้งแต่ตอนไหนในหนัง Inception
แต่ที่แน่ๆ ฉันขาดเขาไม่ได้เลยจริงๆ

ตอนคบกันแรกๆ จำได้เลยว่าฉันต้องแอบซ่อนความรู้สึกดีๆที่มีต่อเขา เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียด
เย็นย่ำหลังทำงาน เรากลับมาคุยโทรศัพท์กัน
ตอนเราคุยโทรศัพท์ ฉันก็ได้ซึมซับความรู้สึกดีๆเหล่านี้ของความรัก...แล้วก็ครอกฟี้ไปเลย
พอเริ่มคบกันมาได้สักพัก ความรักของฉันกลับกลายเป็นเหมือนปัญหาหน่อยๆกับฉัน
คนที่ฉันรัก มักจะกลัวว่าเค้าไม่เหมาะสม ไม่คู่ควร เป็นเหมือนจุดด้อยในชีวิตฉัน
เวลาไปไหนมาไหนกัน เขาก็ชอบตำหนิตัวเขาเอง
คนอื่นอาจจะมองว่าไม่เหมาะสม ไมู่่คู่ควร แต่ไม่ใช่กับฉันเลยสักนิด
ฉันแค่อยากจะรัก อยากจะไปไหนมาไหนกับคนที่ฉันรัก
ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เอาแฟนไปเที่ยวต่อยใครซักหน่อย
ไม่เห็นจะต้องพูดให้เขาดูเหมือนเป็นนักเลงหัวไม้เลย
พอเราคบกันนานขึ้น จนถึงทุกวันนี้
ทีนี้ "คนที่ฉันรัก" เราแทบไม่เคยห่างกันเลย
ข้อดีของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือ เราทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ
ฉันสามารถไปไหนมาไหนกับเขาได้ทุกที่ ไม่ว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว
แม้กระทั่งตอนขับรถ(เช้าๆ) ฉันสามารถอยู่กับเขาได้ตลอดเวลา

ความรักของฉัน มีมาหลายครั้งแล้ว
ที่มาของความเชื่อในความรักของฉัน อาจจะเริ่มมาจากการอ่านการ์ตูนตาหวาน
ความรักในหนังสือ มันช่างหอมหวานซะจริงๆ
ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นก็ได้นะ
รักครั้งแรก เริ่มไม่ค่อยสวย จบไม่ค่อยดีเท่าไหร่
จะดีได้ไง ก็รักเขาข้างเดียว
ฉันเก็บความรู้สึกนั้นไว้นานมาก
ฉันจำได้ว่าพอรุกเข้าหน่อย เขาก็ตีตัวออกห่าง
พร้อมกับบอกว่ารักไม่ได้จริงๆ และแน่นอนว่าฉันนอนร้องไห้ทั้งคืน

มีช่วงหนึ่งที่ฉันไม่ได้มีความรัก
ฉันกลายเป็นคนธรรมดา แต่ฉันจำช่วงชีวิตตอนนั้นไม่ได้เลย
ฉันจำไม่ได้ว่าตอนไม่มีความรักฉันทำอะไรได้บ้าง
ความทรงจำฉัน จำได้แต่ตอนที่ฉันยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรักอยู่

การแสวงหาความรักที่ดี ที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่เรื่องง่าย
ก็อย่างที่ฉันบอก ความรักของฉัน มีมาหลายครั้งแล้ว ถ้านับแล้วก็น่าจะสักสาม
คนรักคนปัจจุบันนี้ ฉันเลยตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะดูแลเขาอย่างดี
ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ....
 ...........................................................................................................

ฉันบี้ไอ้เหม็นตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือเกิน 20 ปีมาแล้ว
แต่ฉันยังไม่รู้สึกเบื่อไอ้เหม็นเลย
และแน่นอน ฉันก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อคนรักของฉันเลย

บางวันไอ้เหม็นไม่ลื่น บางวันมันหอมจากการที่แม่เอาไปซัก บางวันหมาที่บ้านเอามันไปกัดจนมันเหม็นเกินไป
ฉันก็ยังรักมัน และพร้อมที่จะเอานิ้วไปจับ ไปบี้มันเสมอ

บางวันคนรักของฉันหงุดหงิด ฉุนเฉียว ฉันทำอะไรก็ไม่สบอารมณ์ ติสท์แตก
ฉันก็ยังรักเขา และพร้อมที่จะโอบกอดเขาไว้เสมอ

ฉันรักไอ้เหม็นที่มันลื่นๆเหลือบๆยังไง ฉันก็รักคนรักของฉันไม่ต่างกัน....

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รอคอย

รอ... ตอนนี้ทำได้แค่เพียงรอ
การรอคอยมันยาวนาน เนิ่นนานเสมอ
รอ... จนอยากจะร้องไห้

ร้องไห้ เพราะทำได้แค่เพียงรอคอย
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุด ก็คือ
การที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้เลย

แต่ฉันจะรอ...
อย่างน้อยต้องมีใครสักคนที่มีกำลังใจที่ดี
ฉันจะยิ้ม เมื่อเธอพร้อมที่จะหันมา
ฉันจะโอบกอด เมื่อเธอต้องการใออุ่นจากใครสักคน

เพราะฉันจะรอ... รออยู่ตรงนี้เสมอ